ข้อสรุปของ ข้อสรุปการตรวจราชการของศึกษาธิการภาค บันทึกเมื่อวันที่ Date: 01 ธันวาคม 2564
สรุปผลการตรวจราชการและติดตาม
การดำเนินงานตามนโยบายการตรวจราชการและติดตามประเมินผลการจัดการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 (กรณีปกติ) รอบที่ 2 เขตตรวจราชการที่ 3 มีวัตถุประสงค์เพื่อรับทราบและรายงานผลการดำเนินงานตามนโยบายการตรวจราชการและติดตามประเมินผลการจัดการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ
รวมทั้งปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะเชิงนโยบายของหน่วยงาน/สถานศึกษา
ในเขตตรวจราชการที่ 3 ซึ่งกลุ่มเป้าหมายของการตรวจราชการและติดตามการดำเนินงานตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ ประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. 2564 (กรณีปกติ) รอบที่ 2 ได้แก่
หน่วยงานการศึกษาและสถานศึกษาในเขตตรวจราชการที่ 3 จำนวน 3 จังหวัด คือ
จังหวัดราชบุรี กาญจนบุรี และสุพรรณบุรี ประกอบด้วย สำนักงานศึกษาธิการจังหวัด
จำนวน 3 แห่ง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา จำนวน 9 แห่ง
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา จำนวน 3 แห่ง
สถานศึกษาสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ จำนวน 4 แห่ง
สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัด (กศน.จังหวัด)
จำนวน 3 แห่ง สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาจังหวัด จำนวน 3 แห่ง และสถานศึกษากลุ่มเป้าหมายในการตรวจราชการจำนวน
6 แห่ง รวมทั้งสิ้นจำนวน 31 แห่ง
ขอบเขตด้านเนื้อหาที่ใช้ในการตรวจราชการและติดตาม ได้แก่
นโยบายการตรวจราชการและติดตามประเมินผลการจัดการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ตามคำสั่งกระทรวงศึกษาธิการ
ที่ สป. 20/2564 ลงวันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2564 และคำสั่งกระทรวงศึกษาธิการ ที่ สป.
429/2564 ลงวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2564 (เพิ่มเติม) จำนวน 5 ด้าน ได้แก่ ด้านที่
1 ด้านความมั่นคง ด้านที่ 2 ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน ด้านที่ 3
ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ ด้านที่ 4
ด้านการสร้างโอกาสความเสมอภาคทางสังคม และด้านที่ 5
ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ
เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
เป็นแบบรายงานผลการดำเนินงานตามนโยบายตรวจราชการและติดตามประเมินผลการจัดการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ที่สำนักตรวจราชการและติดตามประเมินผล
สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการสร้างขึ้น โดยเครื่องมือฯ
ดังกล่าว มีลักษณะเป็นเป็นคำถามปลายเปิด (Open–ended) โดยจำแนกเป็นรายด้านและรายประเด็น ซึ่งแต่ละประเด็นจะสอบถามเกี่ยวกับผลการขับเคลื่อนนโยบาย
ปัจจัยความสำเร็จ/ต้นแบบหรือแบบอย่างที่ดี ข้อค้นพบ/ปัญหาอุปสรรค
วิธีการแก้ไขปัญหา และข้อเสนอแนะในการดำเนินงานตามนโยบาย
การเก็บรวบรวมข้อมูล ดำเนินการโดยสำนักงานศึกษาธิการภาค
3 ส่งแบบรายงานฯ ไปยังสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดในเขตตรวจราชการที่
3 เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2564 เพื่อให้สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดในฐานะเลขานุการการตรวจราชการระดับจังหวัด
นำไปจัดเก็บรวบรวมข้อมูลกับหน่วยงานการศึกษากลุ่มเป้าหมายในจังหวัด
พร้อมทั้งรวบรวมและวิเคราะห์ผลเป็นภาพรวมของจังหวัด และส่งให้สำนักงานศึกษาธิการภาค
3 เพื่อวิเคราะห์และสรุปเป็นภาพรวมระดับภาค โดยนำแบบรายงานผลการดำเนินงานตามนโยบายตรวจราชการและการติดตามประเมินผลการจัดการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564
ที่ได้รับกลับคืนมาจากสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดในเขตตรวจราชการที่ 3
ครบทุกจังหวัด มาดำเนินการตรวจสอบความถูกต้อง ครบถ้วนของแต่ละจังหวัด และวิเคราะห์เชิงเนื้อหา
(Content analysis) ตามข้อคำถามในแต่ละประเด็นการตรวจราชการและติดตาม
สรุปผลการตรวจราชการและติดตาม
1. ด้านความมั่นคง
1.1 การส่งเสริมให้ผู้เรียนมีทัศนคติที่ถูกต้องต่อบ้านเมือง
มีพื้นฐานชีวิตที่มั่นคง และมีคุณธรรม ความเป็นพลเมือง ปลูกฝังความมีระเบียบวินัย
โดยกระบวนการลูกเสือและยุวกาชาด
1) ผลการขับเคลื่อนนโยบาย
1.1) หน่วยงานต้นสังกัด
มีนโยบายและแนวทางในการขับเคลื่อนคุณภาพการศึกษาโดยน้อมนำพระบรมราโชบายด้านการศึกษาของในหลวงรัชกาลที่
10 ที่มุ่งสร้างพื้นฐานให้แก่ผู้เรียน 4 ด้าน
1.2)
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพัฒนาคุณภาพผู้บริหารการศึกษา
โดยส่งผู้บริหารของหน่วยงานและผู้บริหารสถานศึกษา เข้ารับการฝึกอบรมเป็นวิทยากรแกนนำลูกเสือจิตอาสาพระราชทานของจังหวัด
1.3)
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ให้เสนอผลงานเพื่อเข้ารับการคัดเลือกรางวัลผู้บังคับบัญชาลูกเสือดีเด่นจากสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ
และให้สถานศึกษาส่งผลงานเพื่อเข้ารับการคัดเลือกโรงเรียนต้นแบบลูกเสือ ประจำปี
2564
1.4) สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดมีการกำหนดกรอบการจัดกิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียน
เพื่อให้สถานศึกษาในสังกัดใช้เป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียน
1.5) สถานศึกษาขั้นพื้นฐานมีการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีทัศนคติที่ถูกต้องต่อบ้านเมือง
มีคุณธรรมจริยธรรม โดยการจัดกิจกรรมสอดแทรกในทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้
และผ่านกระบวนการลูกเสือ เนตรนารีและยุวกาชาด
1.6)
สถานศึกษาจัดทำโครงการขับเคลื่อนด้านคุณธรรมจริยธรรม ความเป็นพลเมือง
ปลูกฝังความมีระเบียบวินัย โดยการจัดโครงการกิจกรรมลูกเสือ/ยุวกาชาด
และกิจกรรมจิตอาสา
1.7)
สถานศึกษามีหลักสูตรในการสอน/การวัดผล
และการประเมินทุกสิ้นภาคเรียนอย่างเป็นระบบ อีกทั้งได้พัฒนาคุณภาพครูผู้สอนให้มีความรู้รอบด้าน มีกระบวนการสอนที่แปลกใหม่
1.8)
สถานศึกษาระดับอาชีวศึกษามีโครงการฝึกอบรมนายหมู่ลูกเสือให้กับผู้เรียนทุกปี เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมมีความเป็นผู้นำ
ผู้ตามที่ดี กล้าแสดงออก เป็นตัวอย่างที่ดีแก่ผู้อื่น มีจิตอาสา
ศรัทธาในคำว่าบริการ
1.9) ครูใช้กระบวนการลูกเสือในการจัดการเรียนการสอน
เพื่อเสริมสร้างความเป็นพลเมืองและมีการจัดกิจกรรมค่ายลูกเสือต้านยาเสพติด
ค่ายทักษะชีวิตในรูปแบบผสมผสานที่เหมาะสม
1.10) ผู้เรียนปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดีของสังคม
มีระเบียบวินัย ปฏิบัติตามกฎระเบียบของสถานศึกษาและสังคมได้เป็นอย่างดี
โดยผ่านกระบวนการลูกเสือและยุวกาชาด
2) ข้อค้นพบ/ปัญหาอุปสรรค
2.1)
เนื่องจากเกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID–19) ส่งผลให้โครงการฝึกอบรมให้กับครูผู้สอนด้านลูกเสือ
เนตรนารีและยุวกาชาด ไม่ได้รับการฝึกอบรมตามหลักสูตร
รวมทั้งการขับเคลื่อนกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนหรือกิจกรรมอื่นที่เกี่ยวข้อง
2.2) สถานศึกษาบางแห่งไม่ได้กำหนดนโยบายในการบริหารงานลูกเสือไว้อย่างเป็นรูปธรรม
จึงให้ความสำคัญกับกิจกรรมน้อยและไม่บูรณาการกับกิจกรรมอื่น
2.3) ครูขาดการสนับสนุนอย่างจริงจังด้านการจัดอบรมลูกเสือ
ส่งผลให้ปริมาณของครูที่มีความสามารถด้านกระบวนการลูกเสือน้อยลง
2.4) สถานศึกษาบางแห่งเปลี่ยนครูผู้รับผิดชอบงานบ่อย รวมทั้งบุคลากรไม่เพียงพอในการจัดการเรียนการสอนลูกเสือแบบแยกชั้น
3) ข้อเสนอแนะต่อผู้บริหารในการดำเนินการตามประเด็นนโยบาย
3.1) กระทรวงศึกษาธิการควรกำหนดนโยบายให้กิจกรรมลูกเสือเป็นวาระแห่งชาติที่ทุกหน่วยงานต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน มีนโยบายที่ชัดเจน
มีการส่งเสริมกิจการลูกเสืออย่างต่อเนื่องและจริงจัง พร้อมทั้งกำหนดระเบียบแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับลูกเสือ
3.2) กระบวนการทางลูกเสือ
เนตรนารีและยุวกาชาด เป็นกระบวนการที่ดีที่ใช้ในการพัฒนาผู้เรียน แต่หลักสูตรและระเบียบบางอย่างควรปรับปรุงใหม่ให้ทันสมัย
3.3) ผู้บริหารสถานศึกษา
ควรให้การสนับสนุนโดยส่งครูผู้สอนเข้ารับการอบรม เพื่อให้ได้รับความรู้ที่ทันสมัยมากขึ้น
และควรปฏิบัติอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ
3.4) กำหนดแนวทางการจัดกิจกรรมลูกเสือ
เนตรนารี และยุวกาชาดที่เหมาะสมกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
(COVID-19)
3.5)
ควรจัดสรรงบประมาณการดำเนินกิจกรรมลูกเสือในระดับจังหวัด/เขตพื้นที่การศึกษา/สถานศึกษา
และงบประมาณเพื่อพัฒนาสถานศึกษา ครูและบุคลากรทางการลูกเสือให้เพียงพอ
2. ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน
2.1 การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทุกช่วงวัย
โดยเพิ่มพูนทักษะ (Re-skill) พัฒนาทักษะ (Up skill) และการเรียนรู้ทักษะใหม่
(New skills) เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน
1) ผลการขับเคลื่อนนโยบาย
การเพิ่มพูนทักษะ (Re-skill)
(การสร้างทักษะใหม่ที่จำเป็นในการทำงานให้สอดคล้องกับความต้องการ)
1.1)
หน่วยงานการศึกษาบางแห่งมีการจัดทำโครงการ 1 โรงเรียน 1 อาชีพ มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมอาชีพให้ผู้เรียน
โดยจัดกิจกรรมที่หลากหลายตรงกับความต้องการ
1.2)
สถานศึกษามีการจัดการศึกษาพัฒนาอาชีพเพื่อการมีงานทำสำหรับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (COVID-19) ที่สอดคล้องกับบริบทและความต้องการของผู้เรียน
การพัฒนาทักษะ (Up skill)
(การพัฒนาเพื่อยกระดับทักษะเดิมให้ดีขึ้นเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต)
1.1)
หน่วยงานการศึกษามีการวางแผนการขับเคลื่อนนโยบาย
โดยจัดทำโครงการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานและกระบวนการเรียนรู้ ให้ครูผู้สอนสามารถนำไปใช้ได้อย่างมีคุณภาพและประสิทธิภาพ
1.2)
สถานศึกษาจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมทักษะอาชีพแก่ผู้เรียน
มีการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลาย โดยเฉพาะการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ที่มุ่งให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติอีกทั้งสร้างเครือข่ายเพื่อการมีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้องและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการพัฒนาตลอดจนจัดกิจกรรม/โครงการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของผู้เรียนในด้านการพัฒนาทักษะต่างๆ
1.3) สถานศึกษาถ่ายทอดนโยบายและส่งเสริมครูผู้สอนให้มีความพร้อมในการถ่ายทอดองค์ความรู้และทักษะในศตวรรษที่
21 ให้กับผู้เรียนและพัฒนาผู้เรียนตามศักยภาพของแต่ละบุคคล
การเรียนรู้ทักษะใหม่ (New skills)
(การเรียนรู้ที่จำเป็นในอนาคต และสามารถพัฒนาไปสู่การคิดวิเคราะห์ คิดสร้างสรรค์
และสามารถทำงานร่วมกับคนอื่นได้)
1.1)
สถานศึกษาจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนได้รู้จักคิดค้นทักษะกระบวนการ
เพื่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ในเทคนิควิธี นวัตกรรมกระบวนการใหม่ๆ
1.2)
สถานศึกษาส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนให้กับผู้เรียนทุกช่วงวัย
มีทักษะในการเรียนรู้และต่อยอดเพิ่มการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ
2) ข้อค้นพบ/ปัญหาอุปสรรค
2.1)
แนวปฏิบัติในการดำเนินการบูรณาการความร่วมมือของหน่วยงานการศึกษาและเครือข่าย
เพื่อการเพิ่มพูนทักษะ การพัฒนาทักษะ และการเรียนรู้ทักษะใหม่
เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน ยังไม่เป็นรูปธรรม
2.2)
สถานศึกษามีเครื่องมือและอุปกรณ์ในการฝึกอาชีพไม่เพียงพอและไม่ทันสมัย อีกทั้งครูบางส่วนยังขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการ บูรณาการหลักสูตรเพื่อการมีงานทำกับโครงสร้างหลักสูตรสถานศึกษา
2.4) ผู้ปกครองต้องดูแล ช่วยเหลือ
เอาใจใส่ผู้เรียนในการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบต่างๆ
และติดตามการเรียนรู้ของผู้เรียนตามที่ครูมอบหมายอย่างต่อเนื่อง
2.5)
สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
ทำให้ครูต้องปรับรูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
ส่งผลให้ผู้เรียนไม่สามารถนำทักษะไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างเต็มที่
3) ข้อเสนอแนะต่อผู้บริหารในการดำเนินการตามประเด็นนโยบาย
3.1)
กระทรวงศึกษาธิการหรือหน่วยงานต้นสังกัดควรจัดหลักสูตรฝึกอบรมที่หลากหลายด้วยระบบออนไลน์
เพื่อให้ครูและบุคลากรทางการศึกษา ผู้เรียนได้พัฒนาตนเองตามความสนใจ
3.2) กระทรวงศึกษาธิการควรมีแผนพัฒนาบุคลากร
เพื่อให้สามารถพัฒนางานให้เหมาะกับในยุค New Normal รู้เท่าทันเทคโนโลยี รวมทั้งควรสนับสนุนอัตราครูในโรงเรียนประถมศึกษาที่จบสายวิชาชีพอย่างน้อย
โรงเรียนละ 1 อัตรา เพื่อพัฒนา/เพิ่มทักษะสายอาชีพให้ผู้เรียน
3.3)
กระทรวงศึกษาธิการและสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
ควรให้สถานศึกษาสายอาชีพทุกแห่งสามารถเปิดสอนถึงระดับปริญญาตรีเป็นอย่างน้อยและมีแนวทางพัฒนาครูและบุคลากรในสถานศึกษาเอกชนให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพรวมทั้งเพิ่มสวัสดิการด้านต่างๆ ให้ทัดเทียมกับสถานศึกษาของรัฐบาล
3.4)
หน่วยงานต้นสังกัดควรส่งเสริมสนับสนุนให้สถานศึกษาจัดทำห้องเรียนพิเศษเพื่อจัดการเรียนการสอนตามบริบทของท้องถิ่น
3.5) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กับสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
ควรมีโครงการความร่วมมือให้โรงเรียนประถมศึกษาที่เปิดสอนระดับมัธยมต้น
(โรงเรียนขยายโอกาส) ได้เข้าศึกษาเตรียมความพร้อมในสถานศึกษาสายอาชีพ
เพื่อให้ผู้เรียนได้เข้าเรียนต่อระดับวิชาชีพ
2.2 การจัดการศึกษาแบบทวิศึกษาและห้องเรียนอาชีพสู่การสร้างอนาคตให้ผู้เรียนมีอาชีพและมีงานทำ
1) ผลการขับเคลื่อนนโยบาย
1.1)
หน่วยงานการศึกษาประชุมผู้บริหารสถานศึกษาและบุคลากรทางการศึกษาผ่านการประชุมทางไกล
เพื่อชี้แจงนโยบาย มาตรการและแนวทางการดำเนินการขับเคลื่อนคุณภาพการศึกษา
ปีการศึกษา ๒๕๖๔ มุ่งสร้างพื้นฐานผู้เรียนทั้ง 4 ด้าน โดยเฉพาะด้านการมีงานทำ–มีอาชีพ
1.2) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ร่วมกับสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน จัดโครงการเพิ่มทักษะด้านอาชีพแก่ผู้เรียนครอบครัวยากจนที่ไม่ได้เรียนต่อหลังจบการศึกษาภาคบังคับ
1.3)
หน่วยงานการศึกษาส่งเสริมสนับสนุนการเสริมทักษะและสร้างเสริมประสบการณ์อาชีพให้กับสถานศึกษาได้เตรียมความพร้อมด้านข้อมูลของผู้เรียนโดยใช้โปรแกรมวัดความถนัดทางอาชีพ
แบบออนไลน์ (Online) รวมทั้งส่งเสริมสนับสนุนให้สถานศึกษามีการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ
1.4)
สถานศึกษาประเภทอาชีวศึกษาทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการจัดการศึกษาระบบทวิศึกษาและสร้างห้องเรียนอาชีพให้กับสถานศึกษาระดับมัธยมศึกษาทั้งในและนอกกระทรวงศึกษาธิการ
ในหลักสูตร/สาขาต่างๆ
1.5) สถานศึกษาส่งเสริมสนับสนุนและทำความร่วมมือ
(MOU) กับสถาบันอุดมศึกษา
สถานศึกษาอาชีวศึกษา หน่วยงานและองค์กรต่างๆ
ในการจัดการศึกษาทวิศึกษาและห้องเรียนอาชีพให้กับผู้เรียนระดับมัธยมศึกษาด้วยวิธีการที่หลากหลาย
ตลอดจนจัดให้มีแหล่งเรียนรู้ภายในและภายนอกสถานศึกษา
2) ข้อค้นพบ/ปัญหาอุปสรรค
2.1) สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานมีข้อจำกัดที่ไม่สามารถเปิดฝึกทักษะในสาขาที่ผู้เรียนต้องการเข้ารับการฝึกทักษะวิชาชีพได้
ทำให้ผู้เรียนไม่สามารถได้รับการฝึกทักษะวิชาชีพตามที่สมัครไว้
2.2)
ผู้เรียนไม่สนใจสมัครเข้าเรียนในหลักสูตรทวิศึกษา ซึ่งผู้เรียนส่วนใหญ่เป็นนักเรียนชายขอบ
ชาติพันธุ์ ขาดแคลนทุนทรัพย์ในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพ
2.3) สถานศึกษาสังกัดอาชีวศึกษา
มีข้อจำกัดเกี่ยวกับเวลาเรียนของผู้เรียน และจำนวนครูผู้สอนไม่เพียงพอ
เนื่องจากต้องจัดการเรียนการสอนให้กับผู้เรียนเป็นจำนวนมาก อีกทั้งการจัดการศึกษาระบบทวิศึกษา
ส่งผลกระทบต่อทักษะเฉพาะของผู้เรียนเพราะผู้เรียนต้องปรับตัวให้เข้ากับระบบการศึกษาทั้ง
2 ระบบ
คือ อาชีวศึกษาและพื้นฐาน
2.4)
สถานประกอบการที่มีความพร้อมในพื้นที่สำหรับผู้เรียนเข้าฝึกประสบการณ์มีจำนวนน้อย
และยังไม่เห็นความสำคัญของการทำแผนการเรียนร่วมกับสถานศึกษา
อีกทั้งหลักสูตรการเทียบโอนผลการเรียนเข้าสู่หลักสูตรอาชีวศึกษายังไม่มีความเข้าใจที่ชัดเจน
3) ข้อเสนอแนะต่อผู้บริหารในการดำเนินการตามประเด็นนโยบาย
3.1)
สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานที่เป็นหน่วยฝึกทักษะวิชาชีพ
ควรมีการสำรวจความต้องการในสาขาที่ผู้เรียนต้องการเข้ารับการฝึกทักษะวิชาชีพ
3.2) กระทรวงศึกษาธิการควรส่งเสริม
สนับสนุนให้มีสถานศึกษาจัดการศึกษารูปแบบทวิศึกษาและห้องเรียนอาชีพในพื้นที่ และประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีการบริหารจัดการทั้งครูผู้สอน
วัสดุฝึก และอื่นๆ เพื่อให้สามารถพัฒนาทักษะอาชีพของผู้เรียนมีอาชีพและมีงานทำ
3.3)
หน่วยงานต้นสังกัดที่เกี่ยวข้องควรชี้แจงนโยบายและสร้างความเข้าใจในการจัดการเรียนรู้อย่างยืดหยุ่น
โดยใช้แหล่งข้อมูลเป็นฐานและสร้างเสริมบรรยากาศที่เอื้อต่อการพัฒนาทักษะอาชีพ
2.3 การจัดการศึกษาแบบทวิภาคี
1) ผลการขับเคลื่อนนโยบาย
1.1)
สถานศึกษาดำเนินการสำรวจความพร้อมของสถานประกอบการ หน่วยงาน และองค์กรต่างๆ
ในการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีร่วมกับสถานศึกษา
1.2) สถานศึกษาทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับสถานประกอบการ
หน่วยงาน
และองค์กรที่มีความพร้อมในการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีทั้งภายในและนอกจังหวัดตลอดจนทำแผนจัดการเรียนรู้และแผนการฝึกอาชีพร่วมกับสถานประกอบการ
หน่วยงาน และองค์กร
1.3) สถานศึกษาจัดการเรียนการสอนแบบทวิภาคีในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ
(ปวช.) และระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.)
ทำให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการทำงานในสถานประกอบการจริง มีความรู้ความสามารถในการปฏิบัติงานตรงกับสาขาที่เรียน
2) ข้อค้นพบ/ปัญหาอุปสรรค
2.1)
สถานประกอบการที่มีความพร้อมในการทำความร่วมมือ (MOU) มีจำนวนน้อย ซึ่งสถานประกอบการส่วนใหญ่ไม่มีครูฝึกที่ผ่านการฝึกอบรม
2.2)
สถานศึกษาได้รับผลกระทบในการส่งผู้เรียนออกฝึกอาชีพในสถานประกอบการ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (COVID-19)
2.3) ผู้เรียนไม่ต้องการฝึกอาชีพนอกพื้นที่
(ต่างอำเภอ/จังหวัด) ที่ตนเองพักอาศัย และหลายสถานประกอบการมีความเสี่ยงสูงในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019
2.4) ติดขัดในเรื่องกฎระเบียบในการลดหย่อนภาษี
หน่วยงานที่ให้ผ่านการรับรองยังไม่เข้าใจ
หรือขัดแย้ง/แข่งขันกันกับระบบการจัดการศึกษาทวิภาคี
3) ข้อเสนอแนะต่อผู้บริหารในการดำเนินการตามประเด็นนโยบาย
3.1) หน่วยงานต้นสังกัดอาชีวศึกษาควรจัดทำแผนพัฒนาครูฝึกในสถานประกอบการไว้ล่วงหน้าในทุกปีงบประมาณ
เพื่อให้สถานประกอบการวางแผนกำลังคนของสถานประกอบการไม่ให้กระทบกับภาระงานปกติ
3.2)
กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆ
ให้ชัดเจนและทำความตกลงกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อความเข้าใจในการร่วมกันดำเนินการ
3.3)
หน่วยงานต้นสังกัดควรมีการประสานกับแรงงานจังหวัดหรืออุตสาหกรรมจังหวัด
เพื่อเปิดช่องประชาสัมพันธ์ หรือติดต่อประสานสถานประกอบการในการจัดการศึกษาระบบทวิภาคี
3.4)
หน่วยงานต้นสังกัดควรกำหนดนโยบายให้ชัดเจน
เพื่อให้สถานศึกษานำไปสู่การปฏิบัติและประสานความร่วมมือในการจัดการเรียนการสอน
2.4 การขับเคลื่อนศูนย์ความเป็นเลิศทางการอาชีวศึกษา
(Excellent
Center)
1) ผลการขับเคลื่อนนโยบาย
1.1) สถานศึกษาในจังหวัดราชบุรีอยู่ระหว่างดำเนินการเปิดศูนย์อบรมเทคโนโลยีที่ผสานโลกเสมือนเข้ากับโลกแห่งความเป็นจริง (Augmented Reality หรือ
AR) พร้อมระบบเอเอสเอ็ม (ASM)
1.2) สถานศึกษาในจังหวัดกาญจนบุรี
มีการขับเคลื่อนตามลักษณะของสถานศึกษา อาทิ จัดตั้งศูนย์ทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ
พัฒนาความเป็นเลิศให้มีความโดดเด่นในด้านพืช ด้านการโรงแรม การท่องเที่ยว และจัดการเรียนการสอนมุ่งเน้นการปฏิบัติในทางอุตสาหกรรม
เป็นต้น
1.3) สถานศึกษาในจังหวัดสุพรรณบุรี
มีการขับเคลื่อนตามลักษณะของสถานศึกษา อาทิ เป็นศูนย์การเรียน Isuzu/พร้อมสถานที่จัดการศึกษาที่ทันสมัยรองรับการเรียนการสอน จัดการเรียนการสอนตามนโยบาย 1 สถานศึกษา 1 หลักสูตรพรีเมี่ยม
และจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศเฉพาะทางการอาชีวศึกษา (Excellent Center) สาขาวิชาเทคโนโลยีธุรกิจดิจิทัล
2) ข้อค้นพบ/ปัญหาอุปสรรค
2.1)
สถานศึกษามีครูสาขาวิชาช่างไฟฟ้าและห้องเรียนไม่เพียงพอสำหรับดำเนินการ
รวมถึงห้องปฏิบัติการ AR หรือห้องเรียน AR การศึกษาที่เปิดโลกแห่งจินตนาการ
2.2)
สถานศึกษามีงบประมาณไม่เพียงพอต่อการพัฒนา จึงทำให้ติดขัดในบางประเด็น
ประกอบกับมีอุปกรณ์ เครื่องมือไม่ทันสมัยกับตัวอุตสาหกรรมในปัจจุบัน
2.3)
สถานศึกษาไม่สามารถขับเคลื่อนการดำเนินงานได้อย่างเต็มรูปแบบ
เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
3) ข้อเสนอแนะต่อผู้บริหารในการดำเนินการตามประเด็นนโยบาย
3.1) หน่วยงานต้นสังกัดควรดำเนินโครงการตามนโยบายอย่างรวดเร็ว
เพื่อให้สามารถใช้สำหรับการเรียนการสอนและอบรมในปีการศึกษา 2565
3.2)
หน่วยงานต้นสังกัดควรพิจารณาการจัดสรรงบประมาณเป็นพิเศษให้กับสถานศึกษาที่ขาดแคลนจริง
เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนศูนย์ความเป็นเลิศทางการอาชีวศึกษา (Excellent Center) ได้
และสนับสนุนเครื่องมือที่เหมาะสมและทันสมัยกับยุคปัจจุบันให้กับสถานศึกษา
3.
ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์
3.1 การส่งเสริมสนับสนุนให้สถานศึกษาจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะในศตวรรษที่
21
1) ผลการขับเคลื่อนนโยบาย
1.1)
ส่งเสริมสนับสนุนให้สถานศึกษาจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะในศตวรรษที่
21 (3R8C)
พร้อมทั้งนิเทศติดตามและประเมินผลการพัฒนาสมรรถนะการจัดการเรียนการสอนของครูสู่ในศตวรรษที่
21
1.2) ส่งเสริมการออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอน
โดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้าสิ่งที่สนใจและสามารถปฏิบัติได้ตามศักยภาพและความพร้อมของผู้เรียนรายบุคคล
ตลอดจนถอดบทเรียนการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning (PBL) ตามโครงการ Active
Learning ภาคีเครือข่ายของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
1.3) ผู้เรียนทุกคนได้รับการพัฒนาทักษะ 3 R คือ Reading
อ่านออก (W)Riting เขียนได้ และ (A)Rithmatic
มีทักษะในการคำนวณ มีผลการพัฒนาแตกต่างกันตามศักยภาพรายบุคคล และผู้เรียนได้รับการพัฒนาทักษะ
8 C โดยครูปรับใช้กิจกรรมการเรียนรู้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้
1.4)
หน่วยงานการศึกษากำหนดนโยบายที่ชัดเจนเป็นรูปธรรมในการให้สถานศึกษาจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะในศตวรรษที่
21 เพื่อให้สอดคล้องกับแผนการศึกษาแห่งชาติ
1.5)
สถานศึกษามีการพัฒนาความพร้อมด้านสถานที่และวัสดุอุปกรณ์ที่เหมาะสมและเพียงพอต่อการเรียนภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ
รวมทั้งจัดโครงการฝึกอบรมการใช้สื่อการสอนออนไลน์
โดยใช้ในการเรียนการสอนออนไลน์ในโครงการอบรมการใช้งาน Google Classroom, Google Meet ให้ครูผู้สอน
2) ข้อค้นพบ/ปัญหาอุปสรรค
2.1)
หน่วยงานการศึกษาไม่สามารถดำเนินกิจกรรม/โครงการตามแผนที่กำหนดไว้
และไม่สามารถนิเทศ ติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของสถานศึกษาได้
เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
2.2)
หน่วยงานการศึกษาและสถานศึกษายังไม่มีแนวทางที่ชัดเจนในการส่งเสริมสนับสนุนให้สถานศึกษาจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะในศตวรรษที่
21
2.3)
ครูบางส่วนยังไม่ปรับเปลี่ยนวิธีการจัดการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน
ยังคงเน้นเนื้อหาสาระในตำรา เน้นบรรยายให้ผู้เรียนจดจำ อีกทั้งครูขาดความชำนาญในการเขียนแผนการสอนแบบ
Active Learning ขาดทักษะการใช้สื่อเทคโนโลยี และขาดการบูรณาการในกลุ่มสาระการเรียนรู้
3) ข้อเสนอแนะต่อผู้บริหารในการดำเนินการตามประเด็นนโยบาย
3.1)
กระทรวงศึกษาธิการควรปรับเปลี่ยนหลักสูตรการเรียนรู้ที่เน้นฐานสมรรถนะคือ
มุ่งไปยังพฤติกรรมที่ผู้เรียนโดยตรง
ยึดความสามารถที่ผู้เรียนพึงปฏิบัติได้เป็นหลัก โดยให้ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง
3.2)
หน่วยงานต้นสังกัดควรให้ครูทุกคนได้รับการอบรม/พัฒนา
เพื่อเพิ่มเทคนิควิธีการสอนในรูปแบบต่างๆ ที่หลากหลาย และสามารถจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในการพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะในศตวรรษที่
21 (3R8C)
3.2 การพัฒนาครูให้มีทักษะความรู้และความชำนาญการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล
และภาษาอังกฤษ รวมทั้งการจัดการเรียนการสอน (Human Capital Excellence Center : HCEC)
1) ผลการขับเคลื่อนนโยบาย
ด้านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล
1.1)
จัดทำหลักสูตรพัฒนาให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาให้มีทักษะในการใช้สื่อและเทคโนโลยีเพื่อจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีคุณภาพ
ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ผ่านรูปแบบออนไลน์
1.2)
จัดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการห้องเรียนออนไลน์ เพื่อพัฒนาทักษะการเรียนการสอนให้ครูสามารถนำความรู้ไปใช้ในการทำงานกับ
Google Classroom รวมทั้งจัดทำแอพพลิเคชั่น
เพื่อการบริหารจัดการการศึกษาขั้นพื้นฐานและสื่อการเรียนรู้สำหรับครู ส่งผลให้ครูใช้แอพพลิเคชั่นในการจัดการเรียนการสอน
1.3) ศูนย์พัฒนาบุคคลเพื่อความเป็นเลิศ (HCEC) จัดโครงการอบรมออนไลน์
หลักสูตรพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษสำหรับครูผู้สอนภาษาอังกฤษระดับชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษาผ่านแอพพลิเคชั่น
Zoom Meeting
ด้านภาษาอังกฤษ
1.4) ส่งครูที่เคยเข้าร่วมโครงการ Boot camp ครูที่จบเอกภาษาอังกฤษ
และครูที่สอนวิชาภาษาอังกฤษแต่ไม่ได้จบเอกภาษาอังกฤษ เข้ารับการทดสอบทักษะภาษาอังกฤษ
ผลการทดสอบอยู่ระหว่างระดับต่ำกว่า A1–B2 รวมทั้งส่งบุคลากรทางการศึกษา ได้แก่ ผอ.สพท./รองผอ.สพท./ผอ.กลุ่ม
และศึกษานิเทศก์ เข้ารับการทดสอบทักษะภาษาอังกฤษ ผลการทดสอบอยู่ระหว่างระดับต่ำกว่า
A1 – A2
1.5)
จัดทำหลักสูตรออนไลน์ในการส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ
เผยแพร่ทางเว็บไซต์ของหน่วยงาน
เพื่อให้ครูและผู้สนใจเข้ารับการอบรมโดยศึกษาเนื้อหาหลักสูตร และทำการวัดและประเมินผล
1.6) สถานศึกษามีการส่งเสริมทักษะภาษาอังกฤษให้กับเด็กตั้งแต่ระดับปฐมวัย
โดยจัดกิจกรรมขยายผลการเรียนการสอนตามรูปแบบโครงการเด็กไทยพูดอังกฤษได้ (English for All)
1.7)
มีเครือข่ายความร่วมมือในการพัฒนาภาษาอังกฤษ
โดยการขับเคลื่อนการเรียนการสอนภาษาอังกฤษผ่านเครือข่ายศูนย์พัฒนาการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ
ระดับประถมศึกษา PEER
Center
ด้านการจัดการเรียนการสอน
1.8)
มีการนิเทศการใช้สื่อและนวัตกรรมในการจัดการเรียนการสอน
1.9)
บุคลากรของสถานศึกษาสาขาวิชาเมคคาทรอนิกส์และหุ่นยนต์เข้ารับการฝึกอบรม
มาตรฐานการโปรแกรมควบคุม PLC
2) ข้อค้นพบ/ปัญหาอุปสรรค
2.1)
ครูบางคนไม่สามารถทำความเข้าใจและปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เนื่องจากมีความแตกต่างเฉพาะบุคคลและความแตกต่างทางด้านการเรียนรู้
2.2) ข้อมูลการเข้ารับการทดสอบไม่เป็นปัจจุบัน
เนื่องจากมีการโยกย้ายครูไปยังสังกัดอื่น
ประกอบกับระบบและอุปกรณ์สำหรับทดสอบไม่สามารถรองรับการทดสอบได้
2.3) การพัฒนาด้านภาษาอังกฤษค่อนข้างยาก
เพราะเป็นเรื่องทักษะที่ต้องอาศัยเวลาในการฝึกฝน และต้องใช้บ่อยๆ อีกทั้งผู้เรียนขาดอุปกรณ์ในการ
2.4) ศูนย์พัฒนาศักยภาพบุคคลเพื่อความเป็นเลิศ
(HCEC)
มีระบบการบริหารจัดการไม่คล่องตัวทั้งในด้านการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์/อุปกรณ์
และการทดสอบวัดระดับความสามารถทางภาษาอังกฤษ (CEFR)
ไม่เป็นไปตามความต้องการของครู อีกทั้งการพัฒนาศูนย์ HCEC ดำเนินการไม่ต่อเนื่อง
2.5) ครูยังขาดความเข้าใจในการใช้แพลตฟอร์ม Human Capital Excellence Center :
HCEC เนื่องจากยังไม่ชำนาญในด้านการใช้เทคโนโลยี
และภาษาอังกฤษที่เป็นสื่อกลางในการจัดการเรียนการสอน
2.6)
สถานศึกษาขาดความพร้อมในระบบปฏิบัติการทางเทคโนโลยีที่ทันสมัย ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (COVID-19) ทำให้มีข้อจำกัดในการพัฒนาแบบ face to face
3) ข้อเสนอแนะต่อผู้บริหารในการดำเนินการตามประเด็นนโยบาย
3.1) กระทรวงศึกษาธิการหรือหน่วยงานต้นสังกัด
ควรประกาศแนวนโยบายที่ชัดเจนในการพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาภายหลังจากได้รับการทดสอบแล้ว
รวมทั้งกำหนดนโยบายเรื่องความก้าวหน้าในวิชาชีพ
โดยให้ครูปฏิบัติงานและสามารถนำผลงานมาใช้ในการประเมินวิทยฐานะได้
3.2)
หน่วยงานต้นสังกัดทั้งในส่วนกลางและพื้นที่
ควรสร้างขวัญและกำลังใจและจัดสรรอุปกรณ์การจัดการเรียนการสอนในรูปแบบออนไลน์
3.3) คณะกรรมการดำเนินงานศูนย์ HCEC
ควรวางแผนการดำเนินการไว้ล่วงหน้า
เพื่อให้มีระยะเวลาในการเข้ารับการทดสอบให้กับบุคลากรอย่างครอบคลุมและทั่วถึง
3.3 หลักสูตรฐานสมรรถนะ
1) ผลการขับเคลื่อนนโยบาย
หน่วยงานการศึกษาดำเนินการขับเคลื่อนหลักสูตรฐานสมรรถนะ ดังนี้
1.1)
สร้างความเข้าใจให้กับสถานศึกษาโดยจัดส่งเอกสารให้สถานศึกษาได้ศึกษาและทำความเข้าใจในหลักสูตรฐานสมรรถนะ
1.2)
ส่งเสริมสนับสนุนสถานศึกษาให้มีการดำเนินการขับเคลื่อนหลักสูตรฐานสมรรถนะ
โดยจัดอบรมให้กับสถานศึกษา และจัดประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนาครูตามหลักสูตรการออกแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาสมรรถนะผู้เรียน
1.3) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ดำเนินการนำร่องโดยใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะในสถานศึกษาที่เข้าโครงการพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา
1.4) ส่งเสริมสถานศึกษาในการจัดการเรียนการสอนโดยนำสมรรถนะและตัวชี้วัดที่สอดคล้องกันมาออกแบบการสอนร่วมกัน
1.5) สถานศึกษาใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะ
เชื่อมโยงกับหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พ.ศ. 2551 และหลักสูตรสถานศึกษา พ.ศ. 2560
โดยมีการบูรณาการจัดการเรียนการสอนบางรายวิชา
2) ข้อค้นพบ/ปัญหาอุปสรรค
2.1)
ยังไม่สามารถนิเทศติดตามและประเมินผลการสร้างความรู้ความเข้าใจในหลักสูตรฐานสมรรถนะได้
เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
2.2) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ยังขาดความชัดเจนในการนำหลักสูตรฐานสมรรถนะไปใช้ในสถานศึกษาและขาดผู้เชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษา
2.3) ขาดศูนย์รวบรวมข้อมูลหลักสูตรฐานสมรรถนะ
ที่จะเป็นแหล่งค้นคว้าหาความรู้ Online อีกทั้งครูและบุคลากรทางการศึกษาบางส่วนยังขาดความรู้ความเข้าใจในหลักสูตรฐานสมรรถนะ
3) ข้อเสนอแนะต่อผู้บริหารในการดำเนินการตามประเด็นนโยบาย
3.1) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ควรจัดประชุมปฏิบัติการให้กับศึกษานิเทศก์/สถานศึกษานำร่องเขตพื้นที่นวัตกรรมก่อน
และประกาศใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะที่เป็นแกนกลาง
3.2) กระทรวงศึกษาธิการหรือหน่วยงานต้นสังกัดควรมีการจัดทำเว็บไซต์กลาง
เพื่อการสืบค้นข้อมูลหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลหลักสูตรฐานสมรรถนะ
4. ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม
4.1 การใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้
และใช้ดิจิทัลเป็นเครื่องมือการเรียนรู้เพื่อพัฒนาด้านการศึกษาเพื่อความเป็นเลิศ (Digital Education Excellence
Platform : DEEP)
1) ผลการขับเคลื่อนนโยบาย
1.1)
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแจ้งให้สถานศึกษาขยายโอกาสทางการศึกษา
ใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้และใช้ดิจิทัลเป็นเครื่องมือการเรียนรู้
1.2)
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามีการส่งเสริมให้ครูมีความรู้และทักษะความชำนาญการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล
โดยความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยราชภัฏร่วมกับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
1.3)
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาจัดทำโครงการพัฒนาคุณภาพการศึกษาด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล
และจัดกิจกรรมการพัฒนาศักยภาพครูในการจัดการเรียนการสอนผ่านระบบออนไลน์
1.4)
ใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนใน รูปแบบออนไลน์ และที่ศูนย์ดิจิทัลชุมชนของ
กศน.ตำบล สำหรับการจัดการศึกษาตามอัธยาศัย
1.5)
สำนักงาน กศน.ส่วนกลาง ได้ว่าจ้างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์
พัฒนาสื่อการเรียนออนไลน์ หลักสูตรการพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่องานอาชีพ จำนวน
15 รายวิชา
1.6)
ครูผู้ปฏิบัติหน้าที่ดูแลระบบและนายทะเบียนข้อมูลสารสนเทศของสถานศึกษาได้รับการพัฒนาด้านดิจิทัลแพลตฟอร์ม
DEEP ของกระทรวงศึกษาธิการ
1.7)
ครูผู้สอนมีห้องเรียนออนไลน์เพื่อใช้ในการเรียนการสอนและสื่อสารกับผู้ปกครอง
โดยมีการเลือกใช้อย่างเหมาะสมกับผู้เรียนแต่ละช่วงวัย
และได้รับความร่วมมือจากผู้ปกครองเป็นอย่างดี
1.8) ครูจัดทำสื่อการสอน คลิปวีดีโอ มีการนำสื่อสารสนเทศมาประกอบในการจัดการเรียนการสอนอย่างหลากหลาย ทำให้ผู้เรียนเกิดความสนใจมากขึ้น
1.9)
ผู้เรียนมีการเรียนรู้ผ่านช่องทางต่างๆ
ทำให้ผู้เรียนมีความรู้และทักษะในการแสวงหาความรู้อย่างต่อเนื่อง
2) ข้อค้นพบ/ปัญหาอุปสรรค
2.1) เนื่องจากมีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 เป็นสาเหตุสำคัญทำให้สถานศึกษาไม่สามารถขับเคลื่อนให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ รวมทั้งขาดงบประมาณในการบริหารจัดการด้านเทคโนโลยี
2.2) ระบบ Digital Education Excellence
Platform : DEEP ระบบมีความขัดข้องบ่อย ประกอบกับขั้นตอนการใช้งานยุ่งยากซับซ้อนมาก
2.3) ครูผู้สูงวัยไม่มีความชำนาญในการใช้เทคโนโลยีและการใช้งาน DEEP
อีกทั้งระบบสัญญาณอินเตอร์เน็ตเข้าไม่ถึงส่งผลให้การเรียนรู้ไม่ต่อเนื่อง
2.4)
ผู้เรียนขาดความพร้อมด้านอุปกรณ์เทคโนโลยีในการเรียนออนไลน์ จึงไม่สามารถเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนการสอนได้
ประกอบกับบางพื้นที่สัญญาณอินเทอร์เน็ตยังไม่ครอบคลุม
3) ข้อเสนอแนะต่อผู้บริหารในการดำเนินการตามประเด็นนโยบาย
3.1) สถานศึกษาควรพัฒนาห้องเรียนออนไลน์อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง
3.2)
ในนโยบาย DEEP หลังจากได้มีการขับเคลื่อนในช่วงแรก
หน่วยงานต้นสังกัด (สพฐ.) ก็ไม่ได้มีความเคลื่อนไหวต่อ
จึงทำให้ผู้ขับเคลื่อนนโยบายไม่สามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง
3.3)
ควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนและผู้ปกครองได้มีส่วนร่วมในการเลือกใช้แพลตฟอร์มดิจิทัล
3.4)
ควรมีการสนับสนุนด้านอุปกรณ์เทคโนโลยีดิจิทัลด้านการเรียนการสอน
3.5) ควรมีการพัฒนาคู่มือการใช้งานของระบบ Deep ในสถานศึกษาเป็นแหล่งเรียนรู้ให้แก่บุคลากรในสถานศึกษา
และเป็นสถานศึกษาแลกเปลี่ยนการเรียนรู้
3.6)
ควรจัดสรรงบประมาณส่งเสริมการบริหารด้านเทคโนโลยีให้กับสถานศึกษาในการพัฒนาระบบ
เพื่อรองรับการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3.7)
ควรสร้างความเชื่อมั่นในการใช้แพลตฟอร์ม DEEP ว่าสามารถใช้งานได้จริงมีการต่อยอดและขับเคลื่อนอย่างจริงจัง
และเกิดประโยชน์กับทุกฝ่าย
3.8) จัดหลักสูตรอบรมครูทางออนไลน์
เพื่อแนะนำวิธีการใช้ดิจิทัลแพลตฟอร์มต่างๆ โดยจำแนกเป็นระดับชั้น
3.9)
ส่วนกลางควรเพิ่ม server เพื่อให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสามารถเข้าใช้งานได้สะดวกขึ้น
4.2 การจัดการศึกษาเด็กปฐมวัย
1) ผลการขับเคลื่อนนโยบาย
1.1) เขตพื้นที่การศึกษาจัดทำนโยบาย
มาตรการและแนวทางการดำเนินการขับเคลื่อนคุณภาพการศึกษา ปีการศึกษา 2564 ให้กับผู้บริหารและครูในสังกัด
เพื่อเป็นแนวทางในการจัดการเรียนรู้/กิจกรรม Active Learning
1.2) หน่วยงานต้นสังกัดจัดทำเอกสารที่ส่งเสริมพัฒนาการความพร้อมด้านการอ่านการเขียนสำหรับเด็กปฐมวัย
เพื่อเผยแพร่เอกสารให้กับครูผู้สอนปฐมวัยทุกสถานศึกษา
1.3)
สถานศึกษาส่งเสริมสนับสนุนให้ครูปฐมวัยเข้าร่วมอบรมเชิงปฏิบัติการโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อยประเทศไทยด้วยระบบทางไกล
รวมถึงสถานศึกษาและครูปฐมวัยได้รับการนิเทศทั้งทางตรงและทางอ้อมหลากหลายช่องทาง
1.4)
ส่งเสริมสนับสนุนพัฒนาและขยายการเข้าถึงการบริการศึกษาขั้นพื้นฐานให้ทั่วถึงครอบคลุมผู้เรียนให้ได้รับโอกาสในการพัฒนาเต็มตามศักยภาพและมีคุณภาพด้วยการจัดการศึกษาเด็กปฐมวัย
1.5)
ส่งเสริมสนับสนุนและเสริมสร้างขวัญกำลังใจให้ครูจัดทำนวัตกรรม โดยการจัดทำคลิปการสอนผ่านสื่อออนไลน์
เพื่อใช้แก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
1.6)
จัดทำโครงการประเมินพัฒนาการผู้เรียนที่จบหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยพุทธศักราช 2560
ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา
1.7) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 3 ดำเนินกิจกรรมโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อยประเทศไทย
ระดับปฐมวัย ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564
1.8)
สถานศึกษาจัดประสบการณ์การเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัยให้มีพัฒนาการที่ดีทั้ง 4 ด้าน รวมทั้งเสริมการเรียนวิชาการให้มีพื้นฐานในการเรียนต่อในระดับชั้น
ป.1
1.9)
ครูปฐมวัยได้รับความรู้เกี่ยวกับแนวทางการจัดประสบการณ์การเรียนรู้
วิทยาการคำนวณระดับปฐมวัย
1.10)
ครูมีการเตรียมความพร้อมในการจัดการเรียนการสอนในระดับการศึกษาเด็กปฐมวัย
โดยเน้นการประเมินพัฒนาการทั้ง 4 ด้าน ให้เป็นไปตามหลักสูตรและสถานการณ์ช่วงโควิด-19
ระบาด
1.11)
ผู้เรียนมีความสนใจในการทำงาน
และมีความรับผิดชอบในงานที่ครูประจำชั้นได้มอบหมายให้ทำ
รวมทั้งมีการตอบสนองต่อครูประจำชั้นที่ดี
2) ข้อค้นพบ/ปัญหาอุปสรรค
2.1)
การเตรียมประเมินความพร้อมต้องเร่งดำเนินการภายใต้ระยะเวลาที่จำกัด เนื่องจากได้รับการแจ้งจัดสรรงบประมาณจาก สพฐ.
ในเวลาที่กระชั้นชิด
2.2)
เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ทำให้การจัดการเรียนการสอน/กิจกรรมในระดับชั้นปฐมวัยดำเนินการได้ไม่เต็มที่
2.3) สถานศึกษา/บ้านผู้เรียนตั้งอยู่ในพื้นที่สูงจะมีปัญหาเกี่ยวกับสัญญาณอินเทอร์เน็ต
และปัญหาการใช้ภาษาสื่อสารกับผู้ปกครอง
เนื่องจากผู้ปกครองส่วนใหญ่เป็นชาติพันธุ์
2.4) เนื่องจากสถานศึกษาส่วนใหญ่เป็นสถานศึกษาขนาดเล็ก
บุคลากรมีจำนวนจำกัด จึงส่งผลให้ครูปฐมวัยส่วนใหญ่เป็นอัตราจ้าง
ไม่มีทักษะในการจัดประสบการณ์ให้กับผู้เรียน
2.5)
ครูที่จบเอกอนุบาลและผ่านการอบรมการสอนระบบ Montessori ที่เข้าใจหลักการจริงๆ มีจำนวนน้อย
อีกทั้งครูยังไม่สามารถสร้างสรรค์ผลงานได้ตามที่ต้องการ
2.6)
ผู้เรียนส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าเรียนและช่วยเหลือตนเองได้ในการเข้าเรียนผ่านระบบ Zoom จำเป็นต้องให้ผู้ปกครองเป็นผู้ดูแลการเข้าเรียนตามช่วงเวลาที่สถานศึกษาจัดตารางเรียนไว้
3) ข้อเสนอแนะต่อผู้บริหารในการดำเนินการตามประเด็นนโยบาย
3.1) รัฐต้องกำหนดเป้าหมาย
นโยบาย
และหลักสูตรให้ชัดเจนสำหรับการพัฒนาเด็กปฐมวัยให้เหมาะสมและต่อเนื่องทั้งในระดับอนุบาล
ประถมศึกษา และมัธยมศึกษา
3.2) หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจัดอบรมบุคลากรทางการศึกษาปฐมวัยและประถมศึกษาในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และแบ่งปันข้อมูลในการดูแลและพัฒนาคุณภาพเด็กปฐมวัย
3.3)
จัดสรรงบประมาณให้เพียงพอและทัดเทียมกันทั้งในสถานศึกษาของรัฐและเอกชน
รวมทั้งสนับสนุนงบประมาณในการจัดหาวัสดุอุปกรณ์ให้กับครูและผู้เรียนในการจัดกิจกรรม
3.4)
พัฒนาเชื่อมโยงรอยต่อของแต่ละช่วงวัยที่เริ่มต้นจากบ้าน ศูนย์ดูแลเด็กเล็ก
โรงเรียนอนุบาลจนถึงชั้นประถมศึกษา
3.5)
จัดอบรมพัฒนาครูผู้สอนที่ไม่ใช้แนวกลางๆ แต่เป็นเฉพาะทาง
ซึ่งจะเป็นการพัฒนาครูได้อย่างตรงจุดและเกิดผลอย่างแท้จริง
4.3 การเข้าถึงทางการศึกษาสำหรับคนพิการ
และผู้ด้อยโอกาส
1) ผลการขับเคลื่อนนโยบาย
1.1) หน่วยงานต้นสังกัด
มีมาตรการ/แนวทางในการส่งเสริมสนับสนุนผู้พิการเรียนรวมของสถานศึกษาให้ได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึงและได้รับการพัฒนาอย่างเต็มตามศักยภาพ ตลอดจนมีการนิเทศติดตามการดำเนินการจัดการเรียนรวม
1.2)
สถานศึกษามีการปรับปรุงพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาที่มุ่งเน้นการพัฒนาผู้เรียนทุกระดับ
ได้แก่ ระดับปฐมวัยและระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
1.3)
จัดอบรมเชิงปฏิบัติการการผลิตสื่อทำมือเพื่อส่งเสริมพัฒนาการการเรียนของผู้เรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้
และอบรมเชิงปฏิบัติการการพัฒนาทักษะอาชีพสำหรับผู้เรียนที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษทางการศึกษา
1.4)
พัฒนาครูสถานศึกษาต้นแบบและสถานศึกษาแกนนำการจัดการเรียนรวมให้มีความรู้/ทักษะในการกระตุ้นให้ผู้เรียนพยายามช่วยเหลือตนเองให้มากที่สุด
1.5)
เขตพื้นที่การศึกษาจัดสรรครูพี่เลี้ยงเด็กพิการให้กับสถานศึกษาที่มีความจำเป็นโดยเรียงลำดับจากจำเป็นมากไปหาน้อย
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานจัดสรรตำแหน่งมาให้
1.6)
สถานศึกษาได้จัดทำข้อมูลผู้เรียนพิการผ่านระบบบริหารจัดการข้อมูลสถานศึกษาเรียนรวม
(SET) และจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล
(IEP) ที่สอดคล้องกับความต้องการจำเป็นพิเศษของผู้เรียนพิการแต่ละคน
1.7) เขตพื้นที่การศึกษามีการนิเทศ กำกับ
ติดตาม
และประเมินผลการดำเนินงานของสถานศึกษาจัดการเรียนรวมตามมาตรฐานการเรียนรวมเพื่อการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา
1.8) ระบบ SET มีการปรับปรุงให้ดีขึ้น
ส่งผลให้การยืนยันข้อมูลผู้เรียนของเขตพื้นที่การศึกษามีข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบัน
1.9)
ส่งเสริมให้สถานศึกษาจัดทำระบบการจัดการศึกษาเรียนรวม
เพื่อจัดทำข้อมูลการรักษาและพัฒนาการของผู้เรียน
เพื่อให้ได้รับการรักษาและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
1.10)
เด็กด้อยโอกาสได้รับความช่วยเหลือเป็นทุนการศึกษา ได้แก่ ผู้เรียนยากจนพิเศษ และผู้เรียนยากจน
1.11)
สำนักงาน กศน.จังหวัดราชบุรี
ได้ดำเนินการจัดการศึกษาตามนโยบายเกี่ยวกับการจัดการศึกษานอกโรงเรียนให้กับกลุ่มเป้าหมายที่มีสภาพพิเศษแตกต่างจากกลุ่มเป้าหมายในรูปแบบของศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย
1.12)
ครูผู้สอนผู้พิการได้ประสานความร่วมมือกับสำนักงานสาธารณสุขอำเภอ
เพื่อจัดกิจกรรมให้กับผู้พิการรายบุคคลได้ตรงตามลักษณะความสามารถที่จะเรียนรู้ได้
1.13)
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 1
ประสานสถานศึกษาในสังกัดให้ปฏิบัติตามแนวทางในการคัดกรองผู้เรียน
เพื่อให้การช่วยเหลือได้ทันท่วงที
1.14)
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาดำเนินการดูแลช่วยเหลือ
และส่งเสริมการจัดการศึกษาสำหรับเด็กพิการเรียนรวมให้ได้รับการศึกษาเต็มตามศักยภาพ สมรรถภาพหรือบริการทางการศึกษาที่เหมาะสม
1.15)
ครูผู้สอนมีการวิเคราะห์หลักสูตรผู้เรียนเป็นรายบุคคล
และจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล รวมทั้งใช้สื่ออิเลคทรอนิกส์ประกอบการจัดการเรียนการสอน
1.16) ครูโรงเรียนสุพรรณบุรีปัญญานุกูล
ได้นำโปรแกรม Google map มาใช้ประโยชน์ในการค้นหาข้อมูลแผนที่บ้านผู้เรียน
เพื่อให้เกิดความสะดวกในการออกพื้นที่ในการเยี่ยมบ้าน
1.17)
ผู้เรียนมีโอกาสค้นพบความสามารถและความถนัดของตนเอง
เพื่อจะได้รับการพัฒนาตามความถนัดอย่างเต็มความสามารถ และทำกิจกรรมร่วมกับเด็กปกติได้
2) ข้อค้นพบ/ปัญหาอุปสรรค
2.1) สถานศึกษาบางแห่งจัดทำข้อมูลผู้เรียนไม่ถูกต้อง
ไม่สามารถจำแนกประเภทความพิการของผู้เรียนได้
เนื่องจากครูเกษียณอายุราชการหรือย้ายสถานศึกษาเป็นจำนวนมาก
2.2)
ขาดงบประมาณค่าพาหนะของครูผู้สอนผู้พิการในการออกไปให้บริการกับนักศึกษาผู้พิการที่บ้าน
อีกทั้งนักศึกษา กศน.
ส่วนมากไม่มีความพร้อมเกี่ยวกับอุปกรณ์เครื่องมือสื่อสารในการเรียนรูปแบบออนไลน์
2.3) อาคารสถานที่
และสิ่งอำนวยความสะดวกไม่เอื้อต่อการจัดการเรียนร่วม
2.4)
ครูพี่เลี้ยงผู้พิการไม่มีพื้นฐานความรู้ในการกระตุ้นพัฒนาการ/การดูแล ช่วยเหลือ
และการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันของผู้พิการทั้ง 9 ประเภท
เนื่องจากไม่ได้จบตรงสาขาวิชาเอก
2.5)
ไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณในการอบรมให้ความรู้กับผู้คัดกรอง
เพื่อทำหน้าที่คัดกรองผู้เรียนที่บกพร่อง พิการ และด้อยโอกาส
2.6) บุคลากรไม่เพียงพอ
มีภาระงานอื่นมากทำให้ผู้รับผิดชอบไม่สามารถปฏิบัติงานได้อย่างเต็มที่ ประกอบกับขาดความเชี่ยวชาญ ความชำนาญเฉพาะด้าน
และด้านอื่นๆ ที่จำเป็น
2.7)
ครูผู้สอนบางส่วนไม่สามารถแยกผู้พิการเรียนร่วมได้ถูกต้อง
เนื่องจากขาดความรู้ความเข้าใจในการใช้เครื่องมือ ขาดเครื่องมือในการดำเนินการ และเครื่องมือมีความยุ่งยาก
2.8)
ครูผู้สอนขาดความเข้าใจในการจัดทำแผนจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล
(IEP/IIP) ของผู้เรียนพิการ
และด้านผู้เรียนด้อยโอกาสมีการบันทึกข้อมูลผู้เรียนรายบุคคล (DMC) ที่ไม่สมบูรณ์
2.9) ผู้เรียนพิการบางส่วน
ยังไม่สามารถเข้าถึงบริการสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อบริการ
และความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา
2.10)
ผู้เรียนมีฐานะยากจนและด้อยโอกาส อีกทั้งผู้ปกครอง ครอบครัว ชุมชน ยังขาดความรู้ความเข้าใจและมีเจตคติที่ไม่ถูกต้องต่อความพิการ
รวมทั้งผู้ปกครองบางคนไม่ให้ความร่วมมือในการพัฒนาเด็ก
3) ข้อเสนอแนะต่อผู้บริหารในการดำเนินการตามประเด็นนโยบาย
3.1)
ขยายการจัดการศึกษาเรียนรวมไปยังสถานศึกษาทุกแห่งทั้งภาครัฐและเอกชน โดยใช้กลุ่มสถานศึกษาเป็นฐานบริการ และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือในการศึกษาพิเศษอย่างทั่วถึง
3.2)
จัดสรรอัตราพี่เลี้ยงผู้พิการให้สถานศึกษาที่จัดการศึกษาเรียนรวมให้ครบทุกสถานศึกษาและต่อเนื่อง
3.3) ควรมีการสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์ของผู้เรียนพิการเรียนรวมทั้งระดับครอบครัว
บุคคลอื่นในสถานศึกษา ชุมชน และสังคมรอบๆ
ตัวของผู้เรียนอย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง
3.4)
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรสร้างเครือข่ายบุคลากรทางการศึกษาปฐมวัยและประถมศึกษาในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และแบ่งปันข้อมูลในการดูแลและพัฒนาคุณภาพเด็กปฐมวัย
3.5)
หน่วยงานต้นสังกัดควรจัดอบรมพัฒนาครูผู้สอนเฉพาะด้านตามประเภทคนพิการทางการศึกษาอย่างต่อเนื่อง
และคัดเลือกครูที่มีวุฒิการศึกษาเฉพาะด้านที่ตรงกับประเภทของคนพิการ
3.6)
หน่วยงานต้นสังกัดควรมีการประสานงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการลงพื้นที่เพื่อให้การดูแลและช่วยเหลือฟื้นฟูศักยภาพของคนพิการในพื้นที่
3.7)
หน่วยงานต้นสังกัดควรจัดสรรอัตรากำลังครูให้เพียงพอเป็นไปตามเกณฑ์ของการศึกษาพิเศษ
เพื่อลดภาระงานของครู
3.8) ควรเพิ่มช่องทางการประสานงานให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเกี่ยวกับการบริหารงานผู้เรียนเรียนรวม
และระบบโปรแกรม SET เพื่อให้การขับเคลื่อนงานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
3.9) ควรสร้างความรู้
ความเข้าใจในการคัดกรองผู้เรียนและการจัดทำแผน IEP ตลอดจนการจัดกิจกรรมที่เหมาะสมกับศักยภาพของผู้เรียน
3.10)
ควรมีงบประมาณสนับสนุนในการลงพื้นที่เยี่ยมบ้านผู้เรียนให้กับครูทุกคน
4.4
ความปลอดภัยของผู้เรียน
1) ผลการขับเคลื่อนนโยบาย
1.1) หน่วยงานต้นสังกัดกำหนดยุทธศาสตร์ แผนงาน แนวทาง วิธีการ
และกระบวนการในการดูแลช่วยเหลือผู้เรียน
1.2)
หน่วยงานต้นสังกัดจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564
โครงการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษา
1.3)
เขตพื้นที่การศึกษาบางแห่งดำเนินการจัดตั้งศูนย์เฉพาะกิจ
คุ้มครองและช่วยเหลือผู้เรียน
1.4)
มีนักจิตวิทยาสถานศึกษาประจำเขตพื้นที่การศึกษา
เพื่อดูแลช่วยเหลือผู้เรียนที่มีปัญหาในด้านสภาพจิตใจ
และจัดตั้งกองทุนเอื้ออาทร
1.5) เขตพื้นที่การศึกษาบางแห่งจัดทำแผนรองรับการเกิดภัยพิบัติและสถานการณ์ฉุกเฉินการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 ตามมาตรการของ ศบค.จังหวัด
1.6)
สร้างความตระหนักในความสำคัญของระบบการดูแลช่วยเหลือผู้เรียนให้มีความเข้มแข็งโดยดำเนินการอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพในทุกมิติ
1.7)
ส่งเสริมสนับสนุนการดูแลช่วยเหลือผู้เรียนกลุ่มพิเศษ
การส่งเสริมพิทักษ์เด็กและเยาวชน
1.8)
เขตพื้นที่การศึกษาได้ดำเนินการส่งเสริมสนับสนุนให้สถานศึกษานำระบบการดูแลช่วยเหลือผู้เรียนมาใช้
เพื่อให้ผู้เรียนได้รับความปลอดภัยในด้านต่างๆ
1.9)
เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจัดทำและเผยแพร่คู่มือส่งเสริมความปลอดภัยให้กับสถานศึกษา
รวมทั้งสร้างความเข้มแข็งระบบการรักษาความปลอดภัยให้กับสถานศึกษา
1.10)
ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สำนักงาน กศน.
มีนโยบายให้หน่วยงาน/สถานศึกษาในสังกัดจัดหาวัสดุอุปกรณ์ในการป้องกันเพื่อให้บริการแก่ผู้เรียนและผู้รับบริการ
ตลอดจนให้ความรู้ในการป้องกันตนเองและสอนการทำเจลแอลกอฮอล์ สเปรย์แอลกอฮอล์
และการปลูกพืชสมุนไพรฟ้าทะลายโจร เป็นต้น
1.11) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี
เขต 2 ได้จัดอบรมเชิงปฏิบัติการสถานศึกษาปลอดภัยให้กับครูและบุคลากรทางการศึกษาในสังกัด
1.12)
สร้างบทเรียนออนไลน์สำหรับให้ผู้เกี่ยวข้องมีความรู้ความเข้าใจในภัยคุกคามรูปแบบใหม่
2) ข้อค้นพบ/ปัญหาอุปสรรค
2.1)
การดำเนินการตามมาตรการความปลอดภัยของผู้เรียนในสถานศึกษาเป็นเพียงมาตรการที่ควบคุมได้ในสถานศึกษาเท่านั้น
2.2)
เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพบว่าทัศนคติของครูและบุคลากรทางการศึกษาของสถานศึกษาบางแห่ง
ไม่ประสงค์ให้เขตพื้นที่การศึกษารับทราบถึงปัญหาที่ผู้เรียนประสบ
2.3)
สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดกาญจนบุรี
ได้แจ้งหนังสือขอความร่วมมือไปยังหน่วยงาน/สถานศึกษา
ประชาสัมพันธ์ให้กับครูและบุคลากรทุกสังกัดที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมอบรมเชิงปฏิบัติการสถานศึกษาปลอดภัย
ครั้งที่ 2
2.4) ขาดงบประมาณในการดำเนินงานด้านความปลอดภัยของผู้เรียนในสถานศึกษา
2.5)
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพื่อความปลอดภัยของผู้เรียน
ทำให้ไม่สามารถจัดกิจกรรมการเข้าค่ายพักแรมอย่างเป็นรูปธรรมได้
2.6)
ผู้เรียนบางส่วนขาดความตระหนักในการป้องกันตนเองจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
(COVID-19)
3) ข้อเสนอแนะต่อผู้บริหารในการดำเนินการตามประเด็นนโยบาย
3.1) หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง/ทุกภาคส่วนและทุกระดับจะต้องตระหนักถึงความสำคัญและนำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมเพื่อกำหนดเป็นมาตรฐานความปลอดภัยของผู้เรียนในสถานศึกษา
3.2)
การเรียนการสอนแบบออนไลน์ ควรปรับเปลี่ยนเวลาเรียนให้น้อยลง ควรปรับการเรียนให้มีความเหมาะสมกับสภาพจริง
และเหมาะกับการใช้ในชีวิตประจำวัน
3.3)
เมื่อเกิดภัยควรสนับสนุนงบประมาณช่วยเหลือและเยียวยาผู้ประสบภัยให้สามารถดำเนินการได้อย่างมีระบบและรวดเร็วทันเหตุการณ์
3.4) จัดอบรมหลักสูตรเกี่ยวกับสิทธิเด็ก
และมาตรการปกป้องเด็ก
4.5 การศึกษาตลอดชีวิต
1) ผลการขับเคลื่อนนโยบาย
1.1)
กศน.ได้ดำเนินโครงการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมน้อมนำคุณธรรมความดี
โดยมีนโยบายในการส่งเสริมการอ่านออนไลน์โดยใช้แอพพลิเคชั่น Google From
1.2) สถานศึกษาได้มีการจัดการศึกษาให้ครอบคลุมทุกระดับ
เพื่อยกระดับการศึกษาให้กับประชาชนนอกระบบสถานศึกษา
1.3) จัดการศึกษาด้านอาชีพหลักสูตรระยะสั้นและกลุ่มสนใจ
การศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะชีวิตที่มีความสอดคล้องกับสภาพบริบทและสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (COVID-19)
1.4)
จัดกิจกรรมเรียนรู้อย่างต่อเนื่องให้กับผู้สูงอายุตามโครงการการป้องกันภาวะซึมเศร้า
คงสมรรถนะทางกาย จิต และสมองของผู้สูงอายุ
1.5)
โครงการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลสู่ชุมชน
การศึกษาตามอัธยาศัยได้พัฒนาห้องสมุดประชาชนให้มีการบริการที่ทันสมัย
ส่งเสริมการอ่านในทุกรูปแบบ
1.6) กศน.
มีการจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยให้แก่ผู้ขาด พลาด
และด้อยโอกาสทางการศึกษาที่มีอายุระหว่าง 15-59 ปี
ด้วยรูปแบบที่หลากหลายและสภาพการณ์ปัจจุบัน
1.7)
จัดการเรียนการสอนโดยใช้เทคโนโลยีหลากหลายรูปแบบ
เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง มีช่องทางการเรียนรู้ด้วยตนเอง
และเป็นการเรียนรู้ตลอดชีวิต
1.8)
ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้โดยผ่านช่องทางออนไลน์ ออนไซด์ คิวอาร์โค๊ด คลิป ยูทูป
ทำให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต
2) ข้อค้นพบ/ปัญหาอุปสรรค
ความพร้อมในการจัดการเรียนการสอนของผู้เกี่ยวข้องทั้งครูผู้สอน วิทยากร
ผู้เรียนที่มีความแตกต่างกันในเรื่องการใช้เทคโนโลยีและวัสดุอุปกรณ์
เครื่องมือในการจัดการเรียนการสอน ทำให้การจัดกิจกรรมไม่สามารถดำเนินการได้ตามแผน
เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
(COVID-19) ที่ทำให้สถานศึกษาไม่สามารถจัดกิจกรรมในรูปแบบ Onsite
ได้
3) ข้อเสนอแนะต่อผู้บริหารในการดำเนินการตามประเด็นนโยบาย
3.1) ควรมีการพัฒนาครูด้านเทคโนโลยีดิจิทัลในการจัดการเรียนการสอนให้ดียิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง
รวมทั้งสนับสนุนด้านอุปกรณ์เทคโนโลยีดิจิทัลในการจัดการเรียนการสอน
3.2)
จัดให้มีเวทีในการแสดงผลงานของนักศึกษาทั้งทางวิชาการและความสามารถพิเศษของผู้เรียน
5. ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ
5.1 การขับเคลื่อนโรงเรียนคุณภาพของชุมชน (สพฐ.)
1) ผลการขับเคลื่อนนโยบาย
ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เขตตรวจราชการที่ 3
มีสถานศึกษานำร่องโรงเรียนคุณภาพของชุมชน ที่ขอรับการสนับสนุนงบประมาณประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. 2565 จำนวน 9 โรงเรียน ได้แก่ จังหวัดกาญจนบุรี จำนวน 4 โรงเรียน
จังหวัดราชบุรี จำนวน 2 โรงเรียน และจังหวัดสุพรรณบุรี จำนวน 3 โรงเรียน
ซึ่งสถานศึกษานำร่องทั้ง 9 แห่งนี้ รอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
2565 เพื่อดำเนินการตามแผนที่วางไว้
2) ข้อค้นพบ/ปัญหาอุปสรรค
2.1) ครูย้ายกลับภูมิลำเนาในเขตพื้นที่การศึกษา ทำให้ขาดครูผู้สอน
อีกทั้งบุคลากรของสถานศึกษายังไม่มีความพร้อม
และบุคลากรบางส่วนคิดว่าเป็นการเพิ่มภาระงาน
2.2)
ขาดการสนับสนุนด้านงบประมาณในการจัดกิจกรรม สถานศึกษาบางแห่งมีพื้นที่จำกัด
แต่ผู้เรียนมีจำนวนมากทำให้ไม่สามารถจัดกิจกรรมต่างๆ พร้อมกันได้
2.3)
ผู้เรียนส่วนใหญ่มีฐานะยากจนและอยู่ในชุมชนที่มีความเสี่ยงในหลายๆ ด้าน ทำให้เกิดปัญหาในกระบวนการพัฒนา
ขาดแคลนบุคลากรที่มีความสามารถและความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
2.4)
ครูมีภาระงานมากเกินไปทั้งการสอนและการประเมินคุณภาพสถานศึกษาในรูปแบบและมาตรฐานต่างๆ
จากหน่วยงานภายนอก
2.5)
ความไม่ต่อเนื่องของนโยบายส่งผลให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมา อาทิ
ความสิ้นเปลืองงบประมาณ/ทรัพยากร
กิจกรรม/โครงการที่ดีต้องยุติลงเมื่อนโยบายมีการปรับเปลี่ยน เป็นต้น
3) ข้อเสนอแนะต่อผู้บริหารในการดำเนินการตามประเด็นนโยบาย
3.1)
ควรสร้างความตระหนักให้แก่บุคลากรในสถานศึกษาเพื่อช่วยกันดำเนินการให้เกิดความต่อเนื่องและจริงจัง
3.2) สถานศึกษาต้องเน้นการสร้างความโดดเด่นจาก
3 ทักษะ
ได้แก่ ทักษะวิชาการ ทักษะชีวิต และทักษะวิชาชีพ โดยการสร้างอาชีพและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาให้กับเด็กและเยาวชน
3.3)
ควรส่งเสริมให้มีการขับเคลื่อนโครงการโรงเรียนคุณภาพของชุมชนอย่างต่อเนื่อง
มีกระบวนการติดตามและประเมินผล
3.4)
หน่วยงานต้นสังกัดควรสนับสนุนงบประมาณอย่างเพียงพอ ประชาชนในพื้นที่
ผู้ปกครอง/ชุมชนให้ความร่วมมือในการดำเนินงานพัฒนาสถานศึกษา
และภาคีเครือข่ายเข้ามามีส่วนร่วม
3.5)
ควรดำเนินการส่งเสริมพัฒนาสถานศึกษานำร่องให้ประสบความสำเร็จมีคุณภาพเพื่อเป็นสถานศึกษาต้นแบบ
ส่งผลให้ผู้เรียน ผู้ปกครอง ชุมชนเกิดความศรัทธาและเชื่อถือ
3.6)
โรงเรียนคุณภาพของชุมชนต้องมีครูครบชั้น ครบวิชาเอก มีครูพิเศษเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
มีหลักสูตรที่สอดคล้องกับความต้องการของชุมชน มีกิจกรรมการเรียนการสอนที่หลากหลาย
เป็นต้น
3.7)
สถานศึกษามีกระบวนการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ มีเป้าหมายในการบริหารจัดการชัดเจน
โดยกระบวนการ/รูปแบบการบริหารต่างๆ เพื่อการพัฒนา
5.2 โรงเรียนมัธยมดีสี่มุมเมือง
1) ผลการขับเคลื่อนนโยบาย
ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564
เขตตรวจราชการที่ 3 มีสถานศึกษานำร่องโรงเรียนมัธยมดีสี่มุมเมือง
ที่ขอรับการสนับสนุนงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 จำนวน 3 โรงเรียน ได้แก่ จังหวัดกาญจนบุรี
จำนวน 1 โรงเรียน จังหวัดราชบุรี จำนวน 1 โรงเรียน และจังหวัดสุพรรณบุรี จำนวน 1
โรงเรียน ซึ่งสถานศึกษานำร่องทั้ง 3 แห่งนี้รอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. 2565 เพื่อดำเนินการตามแผนที่วางไว้
2) ข้อค้นพบ/ปัญหาอุปสรรค
2.1)
ผู้เรียนบางส่วนมีบ้านห่างไกลกับสถานศึกษา ทำให้การเดินทางมีความยากลำบาก
2.2) อัตราส่วนความรับผิดชอบระหว่างครู : ผู้เรียนนั้นมีจำนวนมากเกินไป
ส่งผลให้คุณภาพการศึกษาที่ผู้เรียนจะได้รับไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
3) ข้อเสนอแนะต่อผู้บริหารในการดำเนินการตามประเด็นนโยบาย
หัวใจสำคัญของโรงเรียนมัธยมดีสี่มุมเมือง
คือ การกระจายคุณภาพทางการศึกษาไม่ให้กระจุกอยู่ในตัวเมืองหรือสถานศึกษายอดนิยม
ซึ่งเป็นการยกระดับคุณภาพการศึกษา ฉะนั้นสถานศึกษาต้องเน้นสร้างความโดดเด่นจาก 3 ทักษะ ได้แก่
ทักษะวิชาการ ทักษะชีวิต และทักษะวิชาชีพให้เกิดขึ้น พร้อมทั้งต้องสร้างความมั่นใจเรื่องคุณภาพการศึกษาให้แก่ผู้ปกครองของผู้เรียน
5.3 โรงเรียนคุณภาพประจำตำบล
1) ผลการขับเคลื่อนนโยบาย
1.1) เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบางแห่ง
ได้ทำการศึกษาผลการยกระดับคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนคุณภาพประจำตำบล
และได้มีการนิเทศ ติดตามผลการพัฒนาตามตัวชี้วัดในแต่ละด้าน จำนวน 6 ด้าน
1.2)
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. 2564 เพื่อสนับสนุนด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์
และงบลงทุน ค่าครุภัณฑ์
1.3)
เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาได้ส่งเสริมสนับสนุนให้สถานศึกษาในโครงการโรงเรียนคุณภาพประจำตำบล
ดำเนินการตามนโยบายโดยมีการพัฒนาสถานศึกษาให้ครบทั้ง 3 ด้าน ได้แก่
ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านการจัดการเรียนการสอน และด้านความร่วมมือ
1.4)
เขตพื้นที่การศึกษามีการนิเทศติดตามการดำเนินงานของสถานศึกษาในรูปแบบออนไลน์ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (COVID-19)
2) ข้อค้นพบ/ปัญหาอุปสรรค
2.1)
สถานศึกษาเกิดความไม่มั่นใจในการดำเนินโครงการ
เนื่องจากขาดการสนับสนุนด้านงบประมาณในการจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ทันสมัย
2.2)
บุคลากรของสถานศึกษายังไม่มีความพร้อม และบุคลากรบางส่วนคิดว่าเป็นการเพิ่มภาระงาน
ประกอบกับขาดแคลนบุคลากรที่มีความสามารถและความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
2.3) ครูมีภาระงานมากเกินไปทั้งการสอนและการประเมินคุณภาพสถานศึกษาในรูปแบบและมาตรฐานต่างๆ
จากหน่วยงานภายนอก
2.4)
ความไม่ต่อเนื่องของนโยบายส่งผลให้เกิดปัญหาตามมา ได้แก่
ความสิ้นเปลืองงบประมาณและทรัพยากร ครูมีภาระเพิ่มขึ้น
โครงการ/กิจกรรมที่ดีต้องหยุดลงเมื่อนโยบายปรับเปลี่ยน
2.5) สถานศึกษาขนาดเล็กมีจำนวนครูไม่ครบชั้น
และไม่ครบสาระวิชาตามหลักสูตร ทำให้ครูสอนไม่ตรงตามวิชาเอก
และการดูแลผู้เรียนไม่ทั่วถึง
ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพการศึกษามากที่สุด
2.6) ผู้ปกครองส่วนใหญ่มีฐานะยากจน
การศึกษาไม่สูงไม่สามารถช่วยเหลือสนับสนุนการเรียนของบุตรหลานได้มากนัก
ส่งผลให้ผู้เรียนมีพฤติกรรมเสี่ยง ไม่สนใจการเรียน และมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ
2.7)
ส่วนกลางไม่มีการขับเคลื่อนในปีการศึกษาที่ผ่านมา
โดยเฉพาะด้านการจัดการเรียนการสอน มีเพียงด้านโครงสร้างแต่ก็ไม่ครอบคลุมทุกแห่ง
ประกอบกับประสบปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ส่งผลให้สถานศึกษาไม่สามารถจัดการเรียนการสอนในรูปแบบปกติได้
3) ข้อเสนอแนะต่อผู้บริหารในการดำเนินการตามประเด็นนโยบาย
3.1)
เขตพื้นที่การศึกษาควรได้รับการจัดสรรงบประมาณ งบดำเนินงานอย่างเพียงพอ และสถานศึกษาควรได้รับการสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินการพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาของสถานศึกษาตามบริบทของแต่ละแห่ง
3.2)
ควรสร้างความตระหนักให้แก่บุคลากรในสถานศึกษา เพื่อช่วยกันดำเนินการขับเคลื่อนอย่างจริงจัง
ต่อเนื่องให้เป็นรูปธรรม รวมทั้งสร้างอาชีพและเพิ่มโอกาสเข้าถึงการศึกษาให้กับเด็กและเยาวชน
3.3) ควรส่งเสริมสนับสนุนการสร้างเครือข่ายของสถานศึกษาขนาดเล็ก
การพัฒนาคุณภาพผู้เรียน
เพื่อการจัดกระบวนการการเรียนรู้ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น บ้าน วัด
โรงเรียน โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน
3.4) หัวใจสำคัญของสถานศึกษาขนาดเล็ก คือ
การกระจายคุณภาพทางการศึกษาไม่ให้กระจุกอยู่ในตัวเมืองหรือสถานศึกษายอดนิยม
ซึ่งเป็นการยกระดับคุณภาพการศึกษาสถานศึกษาต้องเน้นสร้างความโดดเด่นจาก 3 ทักษะ ได้แก่
ทักษะวิชาการ ทักษะชีวิต และทักษะวิชาชีพ
3.5)
สถานศึกษาต้องสร้างความมั่นใจเรื่องคุณภาพการศึกษาให้แก่ผู้ปกครองของผู้เรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นสถานศึกษาคุณภาพ
3.6) พิจารณาแก้ไขระเบียบอัตราส่วนครู : นักเรียน เป็นครู 1
คน รับผิดชอบนักเรียนจำนวน 20–25 คน
เพื่อคุณภาพทางการศึกษาที่ผู้เรียนจะได้รับ
3.7) การยุบรวมสถานศึกษา
จะทำให้สถานศึกษาคุณภาพประจำตำบลมีคุณภาพมากขึ้น
5.4 โรงเรียนขนาดเล็กที่ดำรงอยู่ได้ด้วยตนเอง
1) ผลการขับเคลื่อนนโยบาย
ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564
เขตตรวจราชการที่ 3 มีสถานศึกษานำร่องขนาดเล็กที่ดำรงอยู่ได้ด้วยตนเอง หรือ Stand Alone ที่ขอรับการสนับสนุนงบประมาณ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 จำนวน 3
โรงเรียน ได้แก่ จังหวัดกาญจนบุรี จำนวน 2 โรงเรียน และจังหวัดสุพรรณบุรี จำนวน 1 โรงเรียน ซึ่งสถานศึกษานำร่องทั้ง 3
แห่ง นี้รอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565
เพื่อดำเนินการตามแผนที่วางไว้ ซึ่งสถานศึกษานำร่องบางจังหวัดในเขตตรวจราชการที่ 3
ได้ดำเนินการ ดังนี้
1.1)
สถานศึกษานำแผนพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารจัดการสถานศึกษาขนาดเล็กไปใช้ในการบริหารจัดการได้อย่างตรงตามความต้องการสอดคล้องกับบริบทของสถานศึกษา
1.2) สถานศึกษาได้จัดทำรายการอาคารเรียนและอาคารประกอบเพื่อการเรียนการสอน
เพื่อเพิ่มโอกาสทางการศึกษาที่เท่าเทียมและมีประสิทธิภาพแก่ผู้เรียน
1.3)
ส่งเสริมการจัดการศึกษาของสถานศึกษาขนาดเล็กให้มีคุณภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน ส่งเสริมให้ชุมชนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษาขนาดเล็ก
2) ข้อค้นพบ/ปัญหาอุปสรรค
2.1)
การควบรวมสถานศึกษาขนาดเล็กยังไม่สามารถดำเนินการตามแผนที่กำหนดไว้ได้ รวมทั้งไม่สามารถนำผู้เรียนมาเรียนรวมได้
เนื่องจากคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ผู้ปกครอง และชุมชนไม่ยินยอม
2.2)
ผู้เรียนบางส่วนมีบ้านห่างไกล การเดินทางมีความยากลำบาก
2.3) ครูไม่เพียงพอต่อการจัดการเรียนการสอน
3) ข้อเสนอแนะต่อผู้บริหารในการดำเนินการตามประเด็นนโยบาย
3.1)
สถานศึกษาควรมีรูปแบบหรือแนวทางในการบริหารจัดการสถานศึกษาอย่างเป็นระบบ
และเหมาะสมกับบริบทของแต่ละแห่ง
3.2)
หัวใจสำคัญของโรงเรียนขนาดเล็ก คือ การกระจายคุณภาพทางการศึกษา
ไม่ให้กระจุกในตัวเมืองหรือสถานศึกษายอดนิยม ซึ่งเป็นการยกระดับคุณภาพการศึกษา
สถานศึกษาต้องเน้นสร้างความโดดเด่นจาก 3 ทักษะ ได้แก่ ทักษะวิชาการ ทักษะชีวิต
และทักษะวิชาชีพ
3.3) ขอให้มีการพิจารณาแก้ไขระเบียบอัตราส่วนครู : นักเรียน เป็นครู 1 คน รับผิดชอบผู้เรียนจำนวน 20–25 คน เพื่อคุณภาพทางการศึกษาที่ผู้เรียนจะได้รับ
บันทึข้อมูลโดย: นายสุกิจ บัวแพง กลุ่มตรวจราชการและติดตามประเมินผล