ข้อสรุปของ ข้อสรุปการตรวจราชการของศึกษาธิการภาค บันทึกเมื่อวันที่ Date: 09 มิถุนายน 2564

รายงานผลการตรวจราชการ และติดตามประเมินผลการจัดการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ กรณีปกติ รอบที่ 1 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เขตตรวจราชการที่ 17

รายงานผลการตรวจราชการและติดตามประเมินผลการจัดการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ กรณีปกติ รอบที่ 1 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ของสำนักงานศึกษาธิการภาค 17 ประกอบด้วย จังหวัดตาก พิษณุโลก เพชรบูรณ์ สุโขทัย และอุตรดิตถ์ เพื่อตรวจราชการ ติดตาม และประเมินผลการขับเคลื่อนนโยบายและจุดเน้นสู่การปฏิบัติ ระดับพื้นที่หน่วยรับตรวจราชการในพื้นที่รับผิดชอบของสำนักงานศึกษาธิการภาค 17 และ เพื่อรวบรวม วิเคราะห์ สังเคราะห์ รายงานการตรวจราชการระดับพื้นที่ และจัดทำรายงานการตรวจราชการ ติดตาม และประเมินผลการขับเคลื่อนนโยบายและจุดเน้นสู่การปฏิบัติระดับพื้นที่ เสนอประธานกรรมการอำนวยการ เพื่อนำเรียนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ เป็นหน่วยงานการศึกษาและสถานศึกษา ในเขตตรวจราชการที่ 17 ประกอบด้วย สำนักงานศึกษาธิการจังหวัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา สถานศึกษาสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัด (กศน.จังหวัด) และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาจังหวัด        

เครื่องมือที่ใช้ในการตรวจราชการ และติดตามประเมินผลการจัดการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการกรณีปกติ รอบที่ 1 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 และกรณีพิเศษ ใช้แบบสำรวจสภาพการดำเนินงานและแบบรายงานผลการดำเนินงานตามนโยบายการตรวจราชการและการติดตามประเมินผลการจัดการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 ที่ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ (นายสุรินทร์  แก้วมณี) และสำนักตรวจราชการและติดตามประเมินผล สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ สร้างขึ้น ประกอบด้วย

           1. แบบสำรวจสภาพการดำเนินงานตามนโยบายการตรวจราชการ ประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. 2564 โดยจัดทำเป็นแบบสอบถามออนไลน์ด้วย Google Form เพื่อสำรวจสภาพการดำเนินงานตามนโยบายการตรวจราชการ 2. แบบรายงานผลการดำเนินงานตามนโยบายตรวจราชการและการติดตามประเมินผลการจัดการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 และ 3. แบบรายงานผลการดำเนินงานตามนโยบายตรวจราชการและการติดตามประเมินผลการจัดการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 สำหรับหน่วยงาน/สถานศึกษาที่เป็นหน่วยรับตรวจ โดยการลงพื้นที่เพื่อตรวจราชการและ
ติดตามผลการดำเนินงานขับเคลื่อนนโยบายดำเนินการโดยสำนักงานศึกษาธิการภาค 17 ส่งแบบรายงานฯ ไปยังสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด     ในเขตตรวจราชการที่ 17 เพื่อให้สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดในฐานะเลขานุการการตรวจราชการระดับจังหวัด นำไปจัดเก็บรวบรวมข้อมูลกับหน่วยงานการศึกษากลุ่มเป้าหมายในจังหวัดพร้อมทั้งรวบรวมและวิเคราะห์ผลเป็นภาพรวมของจังหวัดจำแนกเป็นรายสังกัด สรุปผลได้ดังนี้

นโยบายที่1 การจัดการศึกษาเพื่อความมั่นคง

          การส่งเสริมให้ผู้เรียนมีทัศนคติที่ถูกต้องต่อบ้านเมือง มีพื้นฐานชีวิตที่มั่นคง และมีคุณธรรม ความเป็นพลเมือง ปลูกฝังความมีระเบียบวินัย โดยกระบวนการลูกเสือ และยุวกาชาด

         พบว่า หน่วยงานทางการศึกษาทุกสังกัดในเขตตรวจราชที่ 17 มีการดำเนินการ

ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีทัศนคติที่ถูกต้องต่อบ้านเมือง มีพื้นฐานชีวิตที่มั่นคง และมีคุณธรรม ความเป็นพลเมือง ปลูกฝังความมีระเบียบวินัย โดยกระบวนการลูกเสือ และยุวกาชาดทั้งนี้เนื่องจากหน่วยงานการศึกษาและสถานศึกษาในสังกัด มีแผนงาน/โครงการส่งเสริมกิจกรรมลูกเสือ เนตรนารี และยุวกาชาดในสถานศึกษา ผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย ทั้งการพัฒนาผู้บังคับบัญชาลูกเสือการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา และการพัฒนาผู้เรียนส่งผลให้ผู้เรียนได้รับการปลูกฝังทัศนคติที่ถูกต้อง         ต่อบ้านเมือง มีคุณธรรม จริยธรรม ให้เป็นพลเมืองดี รวมทั้งมีความประพฤติที่เหมาะสมสอดคล้องกับแผนการศึกษาแห่งชาติ ยุทธศาสตร์ในการพัฒนาการศึกษายุทธศาสตร์ที่ 1 การจัดการศึกษา        เพื่อความมั่นคงของสังคมและประเทศชาติ นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับนโยบายและจุดเน้นของกระทรวงศึกษาธิการ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564

ปัญหาอุปสรรค

         1. การจัดโครงการส่งเสริมกิจกรรมลูกเสือ เนตรนารี และยุวกาชาดในสถานศึกษา

ยังพบปัญหาอุปสรรคอยู่บางประการ นั่นคือ ความต่อเนื่องในการทำกิจกรรมในสถานศึกษา/โรงเรียน เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)  ส่งผลให้ครู    ไม่สามารถจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้เต็มที่ และไม่ครบทุกกระบวนการ

2.  ผู้นำกิจกรรมยุวกาชาดที่ผ่านการอบรม รวมทั้งครูผู้สอนกิจกรรมยุวกาชาด มีจำนวนน้อย

ส่งผลต่อประสิทธิภาพการจัดกิจกรรมยุวกาชาดในสถานศึกษา

ข้อเสนอแนะ

1. ควรสร้างความเข้าใจกับผู้บริหารหน่วยงานทางการศึกษา และผู้บริหารสถานศึกษา

 ให้เห็นถึงความสำคัญของการจัดกิจกรรมยุวกาชาดในสถานศึกษา  เพื่อให้เกิดการส่งเสริมให้มีการจัดกิจกรรมยุวกาชาดในสถานศึกษา 

2.ควรส่งเสริมให้สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดในฐานะเป็นผู้แทนกระทรวงศึกษาธิการ

ในส่วนภูมิภาค เป็นหน่วยงานบังคับบัญชาด้านกิจกรรมลูกเสือ เนตรนารี และยุวกาชาด ในจังหวัด

นโยบายที่ 2.ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน
         
2.1 การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทุกช่วงวัย โดยการเพิ่มพูนทักษะ (Re-skill) พัฒนาทักษะ
(Upskill)
  และการเรียนรู้ทักษะใหม่ (Newskills)   เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน

          พบว่า หน่วยงานการศึกษาในทุกสังกัดในเขตตรวจราชการที่ 17 ได้มีการดำเนินการ ส่งเสริม สนับสนุนสถานศึกษาในสังกัดจัดกิจกรรมการเรียนรู้พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทุกช่วงวัย โดยการเพิ่มพูนทักษะ (Re-skill) พัฒนาทักษะ (Up skill)  และการเรียนรู้ทักษะใหม่ (New skills) เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน ด้วยวิธีพัฒนาการใช้ แพลตฟอร์ม และเทคโนโลยี เพื่อนำมาใช้ในการจัดการเรียนการสอน  การพัฒนาผู้บริหาร ครู และบุคลากรทางการศึกษา  นำไปพัฒนาผู้เรียนให้ตรงตามความสามารถ ส่งผลให้ผู้เรียนมีทักษะพื้นฐานในการรู้หนังสือ ทักษะการคิด ทักษะการทำงาน ทักษะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและทักษะการใช้ชีวิต สามารถค้นคว้า ใฝ่หาความรู้จากทรัพยากร       การเรียนรู้ และแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปีด้านที่ 2 ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน

ปัญหาอุปสรรค

เครื่องมือ/วัสดุ อุปกรณ์ในการจัดการเรียนการสอนมีราคาสูงและไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้เรียน

ข้อเสนอแนะต่อผู้บริหารในการดำเนินการตามนโยบาย

ควรเร่งจัดสรรงบประมาณในช่วงต้นปีงบประมาณเพื่อให้การดำเนินงานเป็นประโยชน์ต่อผู้เรียน

 

      2.2 การจัดการศึกษาแบบทวิศึกษา และห้องเรียนอาชีพสู่การสร้างอนาคตให้ผู้เรียนมีอาชีพและมีงานทำ

          พบว่า หน่วยงานทางการศึกษาทุกสังกัดในเขตตรวจราชที่ 17 ได้มีการดำเนินการส่งเสริม สนับสนุนสถานศึกษาในสังกัดจัดการศึกษาแบบทวิศึกษา โดยสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั้งประถมและมัธยมศึกษา ประสานความร่วมมือกับสถาบันการอาชีวศึกษา ร่วมกันจัดการศึกษาแบบทวิศึกษา เพื่อพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตรการจัดการศึกษา มีคุณวุฒิทางวิชาชีพ มีการพัฒนาหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลาย ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อจัดการเรียนการสอนที่ตอบสนองความต้องการและความถนัดของผู้เรียน และเพื่อความเป็นเลิศในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานสู่การประกอบอาชีพ ตามความสนใจสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปีด้านที่ 2 ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน ส่งผลให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามความต้องการและความถนัด มีหลักสูตรที่หลากหลายในการรองรับและตอบสนองความต้องการด้านอาชีพ สอดคล้องและเป็นทางเลือกให้กับผู้เรียน โดยจัดการเรียนการสอนเสริมทักษะอาชีพในรายวิชาพื้นฐาน/รายวิชาเพิ่มเติม/โครงงานอาชีพ/เสริมทักษะอาชีพในกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน/สร้างเสริมประสบการณ์อาชีพ ขยายเครือข่ายเพื่อทำความร่วมมือกับสถาบันอาชีวศึกษา ในการจัดทำหลักสูตรทวิศึกษา และหรือหลักสูตรอาชีพระยะสั้น ทำให้ผู้เรียนมีแนวทางประกอบอาชีพในอนาคตได้

ปัญหาอุปสรรค

                   ความปลอดภัยในการเดินทางเพื่อไปเรียนบางรายวิชาต้องจัดการเรียนรู้โดยใช้เครื่องมือ/อุปกรณ์ที่วิทยาลัยอาชีวศึกษาที่ร่วมจัดทวิศึกษา 

ข้อเสนอแนะต่อผู้บริหาร ในการดำเนินการตามประเด็นนโยบาย

         1. สถาบันอาชีวศึกษาภายในจังหวัด ควรรวมตัวกันดำเนินการในทิศทางเดียวกัน

ในลักษณะภาคีเครือข่ายอาชีวศึกษาจังหวัด โดยมีประธานอาชีวศึกษา เป็นแกนนำในการดำเนินการ

          2. ออกแบบวิธีการจัดการเรียนการสอน ช่วงเวลา และการเดินทางเพื่อความสะดวก ความปลอดภัย

2.3 การจัดการศึกษาแบบทวิภาคี

 พบว่า หน่วยงานทางการศึกษาทุกสังกัดในเขตตรวจราชที่ 17 ได้มีการดำเนินการ ส่งเสริม สนับสนุนสถานศึกษาในสังกัดจัดการศึกษาแบบทวิภาคี มีการขยายความร่วมมือกับสถานประกอบการ ทั้งในและนอกจังหวัด เพื่อเพิ่มศักยภาพในการฝึกอาชีพในสถานประกอบการให้กับนักเรียนนักศึกษา ส่งผลให้นักเรียนที่เข้าร่วมจัดการศึกษาแบบทวิศึกษานำความรู้ไปสร้างรายได้เสริม     ในระหว่างปิดภาคเรียนและประกอบอาชีพเมื่อจบการศึกษา สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล (พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี) ด้านที่ 8กระบวนการเรียนรู้และการพัฒนาศักยภาพของไทย  ทุกช่วงวัยปรับรูปแบบการเรียนรู้และการสอนเพื่อพัฒนาทักษะและอาชีพของคนทุกช่วงวัยสำหรับศตวรรษที่ 21 โดยปรับโครงสร้างหลักสูตรการศึกษาให้ทันสมัย มีการนำเทคโนโลยีและการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริงเข้ามามีส่วนในการจัดการเรียนการสอน

ปัญหาอุปสรรค

1.จำนวนสถานประกอบการที่ได้มาตรฐานมีจำนวนไม่เพียงพอต่อการให้บริการสำหรับสถานศึกษาที่สนใจจะส่งนักเรียนเข้าฝึกงาน

2.คุณภาพการจัดการเรียนการสอน บริบทและความต้องการของผู้เรียนแตกต่างกัน

 รวมถึงสื่อนวัตกรรมเทคโนโลยีในการจัดการเรียนการสอน บริบทของโรงเรียนมีความแตกต่าง

 

ข้อเสนอแนะต่อผู้บริหาร ในการดำเนินการตามประเด็นนโยบาย

            1. ควรสนับสนุนให้ส่งเสริมครูผู้สอน และครูฝึกในสถานประกอบการมีกระบวนการนิเทศการจัดการเรียนการสอนร่วมกัน เพื่อให้ผู้เรียนได้รับความรู้และทักษะด้านวิชาชีพอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการพัฒนาหลักสูตรอย่างต่อเนื่อง เหมาะสม         

            2. จัดหาสถานประกอบการที่มีความพร้อมให้นักเรียนได้ฝึกประสบการณ์อย่างเพียงพอ พัฒนาสถานประกอบการเพื่อยกระดับให้มีมาตรฐาน สำหรับใช้เป็นสถานที่ฝึกประสบการณ์และจัดทำ MOU ร่วมกับสถานประกอบการที่ได้มาตรฐาน          

           

นโยบายที่ 3.ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์                    

          3.1 การส่งเสริมสนับสนุนให้สถานศึกษาจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาผู้เรียน
ให้มีทักษะในศตวรรษที่ 21

พบว่า หน่วยงานทางการศึกษาทุกสังกัดในเขตตรวจราชที่ 17 มีแผนงาน/โครงการที่เกี่ยวข้อง  กับการส่งเสริมสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะในศตวรรษที่ 21  สำนักงานศึกษาธิการจังหวัด เขตพื้นที่การศึกษา และหน่วยงานการศึกษาที่เกี่ยวข้องมีการบูรณาการร่วมกันในการดำเนินโครงการ/กิจกรรม ตามแผนงานยุทธศาสตร์เพื่อสนับสนุนด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ มีการพัฒนาครู มีการส่งเสริมครูผู้สอนจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning  พัฒนาเทคนิค / วิธีการจัดการเรียนรู้ /สื่อและเทคโนโลยีผ่านทาง Social Network ส่งผลให้ผู้เรียนมีความรู้ทักษะกระบวนการคิดวิเคราะห์และทักษะอาชีพเพื่อการมีงานทำผู้เรียนมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์และทักษะการเรียนรู้สอดคล้องกับ แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2579 ยุทธศาสตร์ที่ 3 การพัฒนาศักยภาพคนทุกช่วงวัย และการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้

ปัญหาอุปสรรค

การจัดการเรียนการสอนรูปแบบออนไลน์ ผู้เรียนบางส่วนขาดความพร้อมด้านอุปกรณ์

ในการเรียนออนไลน์ และการเข้าถึงสัญญาณอินเตอร์เน็ต

ข้อเสนอแนะต่อผู้บริหาร ในการดำเนินการตามประเด็นนโยบาย

ควรสนับสนุน ส่งเสริมให้ทุกสถานศึกษามีการจัดกิจกรรมโครงการพัฒนาผู้เรียน

ให้มีทักษะในศตวรรษที่ 21 และมีการนิเทศ ติดตาม ประเมินผลอย่างต่อเนื่องในรูปแบบที่หลากหลาย

          3.2 การพัฒนาครูให้มีทักษะความรู้และความชำนาญการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และภาษาอังกฤษ รวมทั้งการจัดการเรียนการสอน (Human Capital Excellence Center : HCEC)

          พบว่า หน่วยงานการศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานในเขตตรวจราชการที่ 17 ได้ดำเนินการในการพัฒนาครู ให้มีทักษะความรู้และความชำนาญการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และภาษาอังกฤษ รวมทั้งการจัดการเรียนการสอน (Human Capital Excellence Center : HCEC)โดยการจัดตั้ง ศูนย์พัฒนาศักยภาพบุคคลเพื่อความเป็นเลิศ (HCEC)  ดำเนินการจัดสอบ วัดระดับความสามารถทางภาษาอังกฤษ ภาษาจีน เทคโนโลยีดิจิทัล หรือการสอบอื่น ๆ จัดอบรมพัฒนาให้กับครูและบุคลากรทางการศึกษา  ในด้านภาษาอังกฤษ ภาษาจีน  เทคโนโลยีดิจิทัล  และด้านการพัฒนาตามสมรรถนะวิชาชีพ และด้านอื่นๆ ตามที่ สพฐ. กำหนด จำนวน 5 แห่ง รวมทั้ง มีการเตรียมบุคลากรในสังกัดในการเพิ่มทักษะการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล มีการนิเทศ ติดตามสถานศึกษาในสังกัด สถานศึกษามีการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนในทุกระดับทุกประเภทการศึกษาในการพัฒนาทักษะการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล  และทักษะด้านภาษาอังกฤษสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้านที่ 2 ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน

ปัญหาอุปสรรค

         1. การพัฒนาครูให้มีทักษะความรู้และความชำนาญการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและภาษาอังกฤษ

รวมทั้งการจัดการเรียนการสอน (Human Capital Excellence Center : HCEC) ยังไม่ครอบคลุมจำนวนครูผู้สอนภาษาอังกฤษในสังกัด และการพัฒนายังไม่มีความต่อเนื่อง

2. บทบาทของคณะทำงานในศูนย์HCECระดับเขตพื้นที่ยังไม่ชัดเจน ทำให้ขาดความ

ต่อเนื่องในการพัฒนาครู

ข้อเสนอแนะ/วิธีการแก้ไขปัญหา ที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการตามประเด็นนโยบาย

             1.นำผลการประเมินครูความสามารถครูมาใช้ในการยกระดับความสามารถทางภาษาและพัฒนาทักษะการจัดการเรียนการสอนให้สูงขึ้น

             2.ชี้แจงบทบาทของคณะทำงานในศูนย์ HCEC ระดับเขตพื้นที่ให้ชัดเจน

นโยบายที่ 4. ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม

4.1 การใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้และใช้ดิจิทัลเป็นเครื่องมือการเรียนรู้เพื่อพัฒนาด้านการศึกษาเพื่อความเป็นเลิศ

พบว่าสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และสถานศึกษาในสังกัดนำเสนอการพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อการบริหารและการจัดการศึกษาตามนโยบายการปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 มีการปรับรูปแบบการเรียนรู้และการสอน เพื่อพัฒนาทักษะและอาชีพของคนทุกช่วงวัย โดยปรับโครงสร้างหลักสูตรการศึกษาให้ทันสมัย มีการนำเทคโนโลยีและการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริงเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการเรียนการสอน นอกจากนี้ ยังได้จัดการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาทักษะของครูและบุคลากรทางการศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้สามารถเลือกใช้เทคโนโลยีได้อย่างถูกต้องเหมาะสม สอดคล้องกับบริบทของโลกในปัจจุบันส่งผลให้ผู้เรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 – 3 มี Account ส่วนตัว สามารถสมัครเข้าไปใช้งานในระบบได้ ครูจัดการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนโดยใช้ Digital Education Excellence Platform: DEEP เป็นเครื่องมือในการจัดการเรียนรู้ (ห้องเรียนออนไลน์) สอดคล้องกับ แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2579 ยุทธศาสตร์ที่ 4 การสร้างโอกาส ความเสมอภาค และความเท่าเทียมทางการศึกษาการเพิ่มโอกาสทางการศึกษาผ่านเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการศึกษาสำหรับคนทุกช่วงวัย

ปัญหาและอุปสรรค

1. ทักษะพื้นฐานด้านการใช้งานคอมพิวเตอร์ของผู้เข้าอบรมมีไม่เท่ากัน

2. ครูผู้สอน ยังต้องเพิ่มความรู้ความเข้าใจในระบบDEEP

3. ผู้ปฏิบัติงาน Admin ไม่สามารถตรวจสอบการใช้งานระบบ DEEP ของโรงเรียนได้

ข้อเสนอแนะต่อผู้บริหารในการดำเนินการตามนโยบาย

1. ผู้บริหารควรส่งเสริมและสนับสนุนการจัดกิจกรรมการใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้

และใช้ดิจิทัลเป็นเครื่องมือการเรียนรู้เพื่อพัฒนาด้านการศึกษาเพื่อความเป็นเลิศในสถานศึกษาและมีแนวทางในการดำเนินการที่ชัดเจนอย่างเป็นรูปธรรม เป็นระบบอย่างยั่งยืน

2. ควรกำหนดให้สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดในฐานะเป็นผู้แทนกระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานบังคับบัญชาด้านกิจกรรมการใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้และใช้ดิจิทัลเป็นเครื่องมือการเรียนรู้เพื่อพัฒนาด้านการศึกษาเพื่อความเป็นเลิศ ในพื้นที่รับผิดชอบระดับจังหวัด 

4.2 การจัดการศึกษาเด็กปฐมวัย

พบว่า โรงเรียนจัดการเรียนการสอนด้วยวิธีที่หลากหลายยึดตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย

พุทธศักราช 2560 โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนามนุษย์ไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ด้วยการพัฒนาการทั้ง ด้านคือร่างกาย อารมณ์-จิตใจ สังคม และสติปัญญา มีการเตรียมสิ่งแวดล้อม สถานที่ อาคาร ห้องเรียน บริเวณสวน ตลอดจนเครื่องมือเครื่องใช้ และของเล่นที่เด็กเล่น ให้เด็กสามารถเชื่อมโยงที่มาที่ไปในธรรมชาติและบริบทของโรงเรียน รวมทั้งครูผู้สอนได้รับการพัฒนาการจัดกิจกรรมตามแนวคิดมอนเตสซอริและการพัฒนาด้านเทคโนโลยี มีความรู้ ความเข้าใจในการจัดประสบการณ์การการเรียนรู้ปฐมวัยในศตวรรษที่ 21  ส่งผลให้ ผู้เรียนมีการฝึกใช้ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ การวางแผนลงมือทำ นำเสนอ และสะท้อนความคิดเห็น ฯลฯ เด็กมีพัฒนา 4 ด้าน อย่างสมวัย รวมทั้งพัฒนาด้านตัวตน (Self Development) พัฒนาทักษะสมอง (Executive Function: EF) ให้มากขึ้น สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ที่ 4 การสร้างโอกาส ความเสมอภาค และความเท่าเทียมทางการศึกษาผู้เรียนทุกตนได้รับโอกาสและความเสมอภาคในการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ

 

ปัญหาอุปสรรค

1.บุคลากรที่มีความรู้ทางด้านการจัดการศึกษาปฐมวัยในโรงเรียนมีจำนวนจำกัด

ทำให้ไม่สามารถพัฒนาเด็กปฐมวัยได้เท่าที่ควร

2. การจัดประสบการเรียนรู้ให้กับนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 ยังไม่สอดคล้องกับแนวทาง

การจัดการเรียนการสอนในระดับประถมศึกษา สถานศึกษา/โรงเรียนได้แก้ไขปัญหาในเบื้องต้น โดยการจัดกิจกรรมถอดบทเรียน PLC กับครูปฐมวัยและครูชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 เพื่อหาแนวทางในการจัดการเรียนการสอนที่เหมาะสมร่วมกัน

 

ข้อเสนอแนะต่อผู้บริหารในการดำเนินการตามนโยบาย

ควรส่งเสริมและสนับสนุนการจัดสรรครูผู้สอนตรงกับสาขาวิชาเอกปฐมวัย และ

บุคลากรที่มีความรู้ความสามารถทางด้านการจัดการศึกษาปฐมวัยในสถานศึกษาหรือควรพัฒนาและให้ความรู้ในการจัดประสบการณ์ด้านการศึกษาปฐมวัยให้แก่ครูที่ไม่จบตรงสาขาวิชาเอกปฐมวัย

4.3 การเข้าถึงทางการศึกษาสำหรับคนพิการและผู้ด้อยโอกาส

          พบว่า สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และสถานศึกษาในสังกัด ดำเนินการพัฒนาการศึกษาควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับผู้เรียน โดยอาศัยแนวทางการดำเนินงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน 5 ขั้นตอน คือ การรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล การคัดกรองนักเรียน การส่งเสริมและพัฒนานักเรียน การป้องกันและแก้ไขปัญหานักเรียน และการส่งต่อ ที่มีประสิทธิภาพภายใต้ความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการคุ้มครองดูแลช่วยเหลือนักเรียน เน้นการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในการคุ้มครองดูแลช่วยเหลือผู้เรียนอย่างรอบด้าน เด็กพิการ เด็กด้อยโอกาส เด็กความสามารถพิเศษ และเด็กที่มีความต้องการช่วยเหลือเป็นกรณีพิเศษ ได้รับการพัฒนาเต็มตามศักยภาพตามความถนัดและความสามารถเด็กนักเรียนได้รับการพัฒนาทักษะวิชาการ ทักษะวิชาชีพ ทักษะชีวิตมีคุณภาพชีวิตที่ดี อยู่รอดปลอดภัยในสังคมปัจจุบันโดยเน้นการพัฒนาทักษะชีวิตทั้ง 4 องค์ประกอบ คือ การตระหนักรู้และเห็นคุณค่าในตนเองและผู้อื่น การคิดวิเคราะห์ ตัดสินใจ และแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์สอดคล้องกับ แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2579 ยุทธศาสตร์ในการพัฒนาการศึกษายุทธศาสตร์ที่ 3 การพัฒนาศักยภาพคนทุกช่วงวัย และการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้

 ปัญหาอุปสรรค

การจัดการศึกษาเด็กปฐมวัยขาดการประสานงานร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ

ทั้งภาครัฐและ เอกชนในการจัดการศึกษาเพื่อเด็กด้อยโอกาส

ข้อเสนอแนะต่อผู้บริหาร ในการดำเนินการตามประเด็นนโยบาย

ควรมีการจัดทำแผนกลยุทธ์เชิงปฏิบัติการที่เป็นรูปธรรมและ สามารถนำไปสู่การ

ปฏิบัติจริงได้และรวมทั้งการติดตามผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง

 

นโยบายที่ 5. ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ

            5.1  การขับเคลื่อนโรงเรียนคุณภาพของชุมชน

            พบว่า สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และสถานศึกษาในสังกัด ในเขตตรวจราชการที่ 17 มีการคัดเลือกโรงเรียนคุณภาพของชุมชน และโรงเรียนเครือข่าย “โรงเรียนคุณภาพของชุมชน” สามารถดำเนินการได้เป็นไปตามแนวทางการดำเนินงานของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานซึ่งได้มีการประชุมคณะกรรมการ ประกอบด้วย ผู้บริหารการศึกษา ผู้อำนวยการกลุ่มของสำนักงานเขตพื้นที่ และประธานกลุ่มโรงเรียน และที่ประชุมมีมติให้มีโรงเรียนคุณภาพชุมชนเป็นโรงเรียนหลักและโรงเรียนเครือข่าย โรงเรียนเครือข่ายร่วมพัฒนา

มีการส่งเสริมโรงเรียนเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ (School asLearning Community) เพื่อพัฒนาสมรรถนะพลเมืองรุ่นใหม่ และได้แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกโรงเรียนคุณภาพของชุมชน และโรงเรียนเครือข่าย เพื่อร่วมกันพิจารณาคัดเลือก “โรงเรียนคุณภาพของชุมชน”ให้เป็นไปตามแนวทางการดำเนินงานของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปีด้านที่ 6 ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ

ปัญหาอุปสรรค

         1. นักเรียนมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางเพิ่มขึ้น

         2. ชุมชนที่อยู่ห่างออกไปมีความผูกพันกับโรงเรียนลดลง ซึ่งจะส่งผลต่อขอบเขต ของการจัดการเรียนรู้ที่ไม่สามารถดึงเอาชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการเรียนรู้ได้เท่าที่ควร        

         3.ความแตกต่างของสภาพพื้นที่ บริบทของแต่ละโรงเรียน รวมทั้งความลำบากในการเดินทางเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินงาน ทำให้ไม่บรรลุผลเท่าที่ควร

ข้อเสนอแนะต่อผู้บริหาร ในการดำเนินการตามประเด็นนโยบาย

            1. ควรปรับเปลี่ยนอัตราจ้างจากพี่เลี้ยงเด็กพิการเป็นครูการศึกษาพิเศษ ที่มีความรู้ ความเข้าใจ เนื่องจากเรียนมาเฉพาะทาง และมีความยั่งยืน มีประสิทธิภาพมากกว่า

            2. ควรลดภาระงานของครูให้เหลือแต่การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนอย่างเดียว ครูจะได้มีเวลาเตรียมและหาเทคนิควิธีการในการจัดการเรียนรู้ โดยเฉพาะกับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ทั้ง 9 ประเภท

            3. ควรจัดอบรมให้ความรู้แก่ครูที่รับผิดชอบด้านการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ   อบรมให้ความรู้ด้านการจัดทำแผน IEP

           5.2  โรงเรียนมัธยมดีสี่มุมเมือง

             พบว่า การดำเนินการมีการกำหนดเกณฑ์การคัดเลือกและระดับคะแนนตามกรอบแนวทางการคัดเลือกโรงเรียนคุณภาพของ สพฐ.  และดำเนินการพิจารณาคัดเลือกฯ ในรูปแบบคณะกรรมการฯโดยคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกโรงเรียนคุณภาพ : โรงเรียนมัธยมดีสี่มุมเมือง ตามคำสั่งสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ได้ผลการถอดบทเรียนการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสการดำเนินงานของสถานศึกษาและสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ส่งเสริมความสามารถในการแสดงออกและพัฒนาศักยภาพนักเรียนในโรงเรียนคุณภาพประจำตำบล  และเพื่อเสริมสร้างศักยภาพการจัดการเรียนรู้ของครูและสร้างความตระหนักในการเป็นผู้นำที่ดีของผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียนคุณภาพประจำตำบลนำนวัตกรรมทางการศึกษาของโรงเรียนมาจัดแสดงนิทรรศการเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปีด้านที่ 6 ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ

ปัญหาอุปสรรค

1.กรอบแนวทางและเกณฑ์การคัดเลือกโรงเรียนคุณภาพ : โรงเรียนมัธยมดีสี่มุมเมือง มีการเปลี่ยนแปลงหลายครั้ง  ทำให้ผู้ปฏิบัติงานเกิดความสับสนในการดำเนินงาน

2. สภาพบริบทของสถานศึกษา ที่มีจำนวนครูน้อย ทำให้ครูที่รับผิดชอบในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ต้องทำหน้าที่ในงานด้านอื่น ๆ ตามโครงสร้างการบริหารงานของโรงเรียน ครูจึงรู้สึกว่าต้องรับภาระมาก     

ข้อเสนอแนะต่อผู้บริหาร ในการดำเนินการตามประเด็นนโยบาย                    

            1. ควรจัดสรรงบประมาณให้เหมาะสมและเพียงพอสำหรับดำเนินการ

2. ควรจัดกลุ่มเครือข่ายโรงเรียนที่มีสภาพบริบทใกล้เคียงกัน ให้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และช่วยเหลือ กันในการดำเนินงาน

5.3  โรงเรียนคุณภาพประจำตำบล

       พบว่า มีการปรับโครงสร้างพื้นฐาน สิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมกับสภาพการเรียนรู้ มีออกแบบการจัดการเรียนรู้ได้เหมาะสมกับสภาพบริบทของพื้นที่แต่ละแห่ง มีแหล่งสนับสนุนทรัพยากรจากหลายแห่งได้ดำเนินงานโครงการเสริมสร้างคุณธรรม จริยธรรมและธรรมาภิบาลในสถานศึกษา ในการถอดบทเรียนสรุปผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสของสถานศึกษาและสำนักงานเขตพื้นที่ และดำเนินงานโครงการโรงเรียนคุณภาพประจำตำบล ในการดำเนินกิจกรรมการพัฒนาศักยภาพนักเรียน  และการดำเนินกิจกรรมภาวะผู้นำให้ผู้บริหาร ครู เพื่อเสริมสร้างศักยภาพให้กับครูและบุคลากรทางการศึกษา สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปีด้านที่ 6 ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐปัญหาอุปสรรค

         1. สภาพบริบทของสถานศึกษา ที่มีจำนวนครูน้อย ทำให้ครูที่รับผิดชอบในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ต้องทำหน้าที่ในงานด้านอื่น ๆ ตามโครงสร้างการบริหารงานของโรงเรียน ครูจึงรู้สึกว่าต้องรับภาระมาก  

         2.สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (Covid-19)  ทำให้การดำเนินงานไม่เป็นไปตามกำหนดเวลาที่ตั้งไว้ ส่งผลกระทบการในสื่อสาร การจัดสรรงบประมาณล่าช้าทำให้ระยะเวลาให้การจัดกิจกรรมค่อนข้างกระชั้นชิดผู้บริหารและคณะครูมีภาระงานในการบริหารจัดการชั้นเรียนที่หนาแน่น 

ข้อเสนอแนะต่อผู้บริหาร ในการดำเนินการตามประเด็นนโยบาย

            จัดกลุ่มเครือข่ายโรงเรียนที่มีสภาพบริบทใกล้เคียงกัน ให้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และช่วยเหลือ กันในการดำเนินงาน           

          5.4  โรงเรียนขนาดเล็กที่ดำรงอยู่ได้ด้วยตนเอง

             พบว่า การบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็ก เป็นค่าใช้สอย ค่าวัสดุ  และค่าสาธารณูปโภค ตามความจำเป็นและขาดแคลน ให้กับโรงเรียนขนาดเล็ก Stand Alone ผลการจัดการเรียนการสอนส่วนใหญ่ใช้ DLTV เป็นหลัก และมีการสอนเสริมในชั่วโมงลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ มีการส่งเสริม  สนับสนุนนักเรียนให้ได้รับการพัฒนาเต็มตามศักยภาพดูแลนักเรียนให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง        มีสุขภาพจิตดีมีคุณธรรมส่งเสริม  สนับสนุน ให้นักเรียนได้รับการพัฒนาตามความถนัด ส่งผลให้สถานศึกษามีผลการประเมินภายในอยู่ในระดับดีขึ้นไปครูผู้สอนทุกคนใช้เทคโนโลยีการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV) และเทคโนโลยีการศึกษาทางไกล ผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศ (DLIT) เป็นเครื่องมือในการจัดการเรียนรู้ให้แก่นักเรียน และสามารถจัดทำแผนพัฒนาตนเองในรูปแบบชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community : PLC)สถานศึกษามีผลคะแนนการทดสอบความสามารถพื้นฐานระดับชาติ (NT) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3    สูงกว่าปีที่ผ่านมาและสูงกว่าระดับประเทศ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปีด้านที่ 6 ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ

ปัญหาอุปสรรค

         1 .ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไม่ค่อยสูงเมื่อเทียบกับโรงเรียนขนาดกลางที่มีความพร้อมมากกว่า

         2. ครูไม่ครบชั้น  ต้องรับผิดชอบนักเรียน 2 -3 ห้อง/คน                

3. นโยบายไม่ชัดเจน ทำให้เขตพื้นที่การศึกษาทำงานซ้ำซ้อน เนื่องจากรูปแบบและนโยบายเปลี่ยนรายวัน           

ข้อเสนอแนะต่อผู้บริหาร ในการดำเนินการตามประเด็นนโยบาย

            1. โรงเรียนขนาดเล็กที่ดำรงอยู่ได้ด้วยตนเองจะต้องจัดทำแผนพัฒนาการศึกษา เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ให้สูงขึ้นทุกกลุ่มสาระวิชาติดต่อกัน และสูงกว่าระดับประเทศ

            2. ควรสนับสนุนงบประมาณ/สื่อ/วัสดุ/ครุภัณฑ์ ให้กับโรงเรียน Stand Aloneโดยเฉพาะ ไม่ควรใช้หลักเกณฑ์การพิจารณารวมกับโรงเรียนขนาดใหญ่ หรือโรงเรียนขนาดกลางควรกำหนด

หลักเกณฑ์ด้านบุคลากร สำหรับโรงเรียนขนาดเล็ก Stand Alone แยกจากเกณฑ์อัตรากำลังสำหรับโรงเรียนปกติ เพื่อให้มีจำนวนบุคลากรที่เพียงพอควรกำหนดแนวทางการให้ขวัญกำลังใจสำหรับบุคลากรที่สามารถบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็ก Stand Alone ให้มีคุณภาพ           

 

การตรวจราชการและติดตามประเมินผลการจัดการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 กรณีพิเศษ

         1. การจัดการเรียนการสอนและมาตรการป้องกันในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)                                                                  

           หน่วยงานการศึกษาทุกสังกัด และสถานศึกษา ทุกแห่งมีการปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัดมีการแจ้งมาตรการแนวทางปฏิบัติในการเฝ้าระวังป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID−19) ประชาสัมพันธ์ให้สถานศึกษาในสังกัดทราบ และถือปฏิบัติเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ตามมาตรการของ ศบค. จังหวัด มีการจัดประชุมครูเพื่อชี้แจงทำความเข้าใจในการจัดการเรียนการสอนทางไกล มีการวางแผนการจัดการเรียนการสอนโดยใช้รูปแบบที่เหมาะสมกับบริบทของสถานศึกษา/โรงเรียน มีการวางแผนบริหารจัดการในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ชี้แจงครู ผู้ปกครอง และนักเรียน เกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในภาพรวมมีดำเนินการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างเคร่งครัด 

ปัญหาอุปสรรค

1.       การจัดการเรียนการสอนในรูปแบบ DLTV นั้น นักเรียนบางพื้นที่มีความพร้อมน้อย

และไม่มีความพร้อม

2. สถานศึกษาขนาดเล็ก และขนาดกลาง ขาดงบประมาณในการดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรการป้องกันในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)

3. สถานศึกษาส่วนใหญ่มีจำนวนครูไม่เพียงพอต่อการจัดการเรียนการสอนเนื่องจากมีการจัดระยะห่างระหว่างกันในการจัดการเรียนการสอน ทำให้ต้องเพิ่มจำนวนห้องเรียนมากขึ้น

4. นักเรียนมีความพร้อมในการเรียนรู้ต่างกัน ขาดความสนใจในการเรียนอย่างต่อเนื่อง

ข้อเสนอแนะต่อผู้บริหาร ในการดำเนินการตามประเด็นนโยบาย

ควรจัดสรรบุคลากรครูทุกระดับชั้นให้เพียงพอต่อห้องเรียนที่เพิ่มขึ้นเพื่อให้สามารถดูแลนักเรียนได้อย่างใกล้ชิดถูกต้องตามมาตรการป้องกันในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)

2. มาตรการการป้องกัน แก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5

          พบว่า หน่วยงานการศึกษาในทุกสังกัดในเขตตรวจราชการที่ 17 ได้มีการติดตามสถานการณ์และตรวจสอบคุณภาพอากาศ จากเว็บไซต์ air4thai.pcd.go.th  และทาง แอปพลิเคชัน Air4thai เป็นประจำ มีการแจ้งสถานศึกษาทุกแห่งในสังกัด ปฏิบัติตามประกาศกระทรวงศึกษา เรื่อง มาตรการป้องกันแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5ประกาศ ณ วันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2563 เรื่องคุณภาพอากาศ อยู่ในเกณฑ์ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพให้พิจารณา เปิด-ปิด สถานศึกษา ตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการเปิดและปิดสถานศึกษา พ.ศ. 2549 และระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการเปิดและปิดสถานศึกษา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558 โดยหากที่ตั้งของสถานศึกษา อยู่ในพื้นที่คุณภาพอากาศอยู่ในเกณฑ์เกินมาตรฐาน เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ (สีส้ม) หรือมีผลกระทบต่อสุขภาพ (สีแดง) ให้ดำเนินการตามมาตรการป้องกัน คือ สวมหน้ากากอนามัย ตลอดเวลา จัดกิจกรรมทำความสะอาดห้องเรียน และอาคารเรียนอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการจัดกิจกรรมกลางแจ้ง รวมทั้งประชาสัมพันธ์สื่อองค์ความรู้เกี่ยวกับแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ทางช่องทางต่างๆ

ปัญหาอุปสรรค

         1.กระทบต่อสุขภาพนักเรียนเน้นเรื่องของความสะอาดของห้องเรียน สื่ออุปกรณ์ เครื่องเล่น และการดูแลกรณีเจ็บป่วยของนักเรียนโดยการประสานผู้ปกครอง

         2.ในฤดูแล้ง อากาศแห้ง ใบไม้ วัชพืชต่าง ๆ เป็นเชื้อเพลิงเสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้

ได้ง่ายซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5)

3. หน้ากากอนามัยที่ใช้ในปัจจุบัน เป็นหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ ที่มีคุณสมบัติในการป้องกันเชื้อโรค  แต่ไม่สามารถป้องกันฝุ่นละอองขนาดเล็กPM 2.5 ได้

 

ข้อเสนอแนะ/วิธีการแก้ไขปัญหา ที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการตามประเด็นนโยบาย

                   1. ควรประชาสัมพันธ์ รณรงค์การสวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัย เพื่อป้องกัน

ปัญหาฝุ่นละอองและการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 รวมทั้งรณรงค์ให้สถานศึกษาในสังกัด ประชาชน ในท้องถิ่น การตัดแต่งกิ่งไม้ ตัดหญ้าหรือวัชพืชก่อนเข้าสู่ฤดูแล้ง เพื่อจะไม่เป็นแหล่งเชื้อเพลิง

2. ควรจัดหาหน้ากากอนามัยที่มีคุณสมบัติในการป้องกันฝุ่นละอองขนาดเล็กPM2.5 เพื่อแก้ไขปัญหาให้กับโรงเรียน หน่วยงาน ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ที่อยู่ในพื้นที่ ที่ได้รับผลกระทบต่อสุขภาพ ของนักเรียน ผู้บริหาร ครู และบุคลากรทางการศึกษาในสถานการณ์ที่มีค่าฝุ่นละอองเกินเกณฑ์มาตรฐานของกรมควบคุมมลพิษ

3. จัดทำมาตรการป้องกัน แก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก  PM 2.5 ในสถานศึกษา

และจัดกิจกรรมให้ความรู้ ความเข้าใจ เรื่อง ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 จัดป้ายประชาสัมพันธ์ความรู้

 ข้อเสนอแนะต่อผู้บริหาร ในการดำเนินการตามประเด็นนโยบาย

                   1. สถานศึกษาที่มีพื้นที่เสี่ยง ให้ดำเนินงานตามมาตรการการป้องกันแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กPM 2.5 อย่างเคร่งครัด

                   2. สร้างความตระหนักและสร้างการรับรู้เกี่ยวกับพิษภัยจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 รวมทั้งบทลงโทษกรณีฝ่าฝืนกฎหมายซึ่งควรมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด

 

 


 

 

 

 


 



 บันทึข้อมูลโดย: นายสุขุม เรืองเดช